วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รายงานผลการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัย
เรื่อง การส่งเสริม ป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
(Promotion and Prevention Risk Factors Leading to Stroke Disease)
…………………………………..
         จากการสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัยกึ่งทดลองจำนวน 2 เรื่องของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัยที่ใช้เป็นหลักฐานโดยคณะอนุกรรมการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ได้แก่ 1)ผลของโปรแกรมการสร้างพลังต่อการรับรู้ความ สามารถแห่งตน พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับความดันโลหิตของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเกินระดับปกติในชุมชน พ.ศ. 2548 โดยวิมลนิจ สิงหะและประไพ กิตติบุญถวัลย์ และ 2)ผลของโปรแกรมสร้างพลังโดยประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในประชาชนกลุ่มเสี่ยง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี พ.ศ.2549 โดย รัตนา ยอดพรหมมินทร์และเกศแก้ว สอนดี
         ได้ข้อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์  ที่ผู้ให้บริการด้านสุขภาพและผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้  ประกอบด้วยข้อเสนอแนะ 3 ด้าน ได้แก่ 1)กลุ่มบุคคลที่ควรได้รับการส่งเสริมป้องกันปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง  2)เทคนิค/ วิธีการสร้างพลังอำนาจเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และ 3)การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร  ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ข้อเสนอแนะ (Recommendations)
1.กลุ่มบุคคลที่ควรได้ รับการส่งเสริมป้องกันปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

      บุคคลที่เริ่มมีความดันโลหิตสูงเกินระดับปกติ (pre-hypetension) บุคคลที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน (BMI  23.9) หรือค่าเฉลี่ยรอบเอวเกินมาตรฐาน หรือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ระดับที่ 1 ควรได้รับการสร้างเสริมพลังอำนาจเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงโดยการสร้างการรับรู้ความสามารถหรือสมรรถนะแห่งตน ความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการดูแลตนเอง (หลักฐานระดับ 2)
2.เทคนิค/วิธีการสร้างพลังอำนาจเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
     1.กิจกรรมการสร้างพลังอำนาจเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง ค่าความดันโลหิต  ค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว หรือค่าเฉลี่ยรอบเอว  ประกอบด้วย 5 ขั้น ดังต่อไปนี้    (หลักฐานระดับ 2)
1.1            1.1 ขั้นกำหนดเป้าหมายที่คาดหวัง: ให้ผู้รับบริการระบุเป้าหมายสุขภาพที่ตนเองต้องการจากการเข้าร่วมโปรแกรมฯ โดยการทำกิจกรรมฝันดี - ฝันร้าย
1.2            1.2 ขั้นทบทวนประสบการณ์: ให้ผู้รับบริการเล่าประสบการณ์ทางด้านสุขภาพ พร้อมทั้งวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาสุขภาพที่พบทั้งจากประสบการณ์ของตนเองและบุคคลอื่นๆในชุมชน  โดยใช้การเล่นละครใบ้โยงใยหาสาเหตุของปัญหาสุขภาพ
ข้อเสนอแนะ (Recommendations)

1.3          1.3 ขั้นสร้างแนวทางสู่การปฏิบัติ:  ให้ผู้รับบริการกำหนดเป้าหมายการปรับปรุง
1.4       พฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง และประกาศแผนการปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพของตนเองให้สมาชิกในกลุ่มรับทราบ

1.5          1.4 ขั้นความต่อเนื่องของการปฏิบัติ:  ขณะที่ผู้รับบริการปฏิบัติตามแผนการปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพที่ตนเองกำหนดไว้  ควรจัดให้มีบุคคลต้นแบบที่มีปัญหาสุขภาพเช่นเดียวกับผู้รับบริการแต่สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ดี  เพื่อช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้รับบริการและเห็นทางเลือกในการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพของตนเองให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้

1.6          1.5 ขั้นการพัฒนาสภาวะด้านร่างกายและอารมณ์:  เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการระบาย
1.7       ความรู้สึกหรืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ โดยการทำกิจกรรมสายธารชีวิต

       2.การนำโปรแกรมการสร้างพลัง มาใช้ในการส่งเสริมป้องกัน และควบคุม
 ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง  ควรจัดกิจกรรมเสริมสร้างพลังอย่างน้อย
 2 - 4 ครั้งๆ ใช้เวลาครั้งละ ½ วัน   (หลักฐานระดับ 2)
3.การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร
      พยาบาลควรได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนนำโปรแกรมการสร้างพลังอำนาจไปใช้ โดยวิธีการ ดังนี้ (หลักฐานระดับ 2)
    1.พยาบาลได้รับการฝึกทักษะการจัดกิจกรรมสร้างพลังอำนาจแห่งตน
    2.พยาบาลศึกษาคู่มือหรือแนวปฏิบัติการจัดกิจกรรมสร้างพลังอำนาจแห่งตน
      


 จุดอ่อนและจุดแข็งของงานวิจัย
  จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยกึ่งทดลองจำนวน 2 เรื่องที่ผ่านเกณฑ์การประเมินและนำมาสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองพบว่ายังมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนอยู่บ้าง ในด้านจุดแข็งพบว่า  การได้องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง  เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลวิจัยมีคุณภาพและมีการออกแบบงานวิจัยที่ช่วยลดอคติ  ในด้านจุดอ่อน พบว่าการระบุที่มาของจำนวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างยังไม่ชัดเจน   กลุ่มตัวอย่างไม่ได้มาจากการสุ่มเข้ากลุ่มแต่มาจากการเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด  และการเก็บข้อมูลตัวแปรผลลัพธ์ เช่น ระดับความดันโลหิต น้ำหนักและเส้นรอบเอวกับกลุ่มทดลองและควบคุมในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน   

 แนวทางการพัฒนางานวิจัย  
ผลการสังเคราะห์งานวิจัยอย่างเป็นระบบครั้งนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยและการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการผลิตผลงานวิจัย ของวิทยาลัย  ดังต่อไปนี้
1.             พัฒนาโจทย์วิจัยที่ช่วยค้นหาคำตอบให้ได้องค์ความรู้ที่สมบูรณ์มากขึ้น ดังต่อไปนี้
1.1 มุ่งค้นหาคำตอบวิจัยในประชากรกลุ่มเสี่ยง กลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มผู้ดูแลที่อาศัยอยู่ในจังหวัด
สระบุรีเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพระดับจังหวัด เช่น ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ช่วยป้องกันการเกิดปัจจัยเสี่ยงการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ   การฟื้นฟูสภาพและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วย
                 1.2  พัฒนารูปแบบการวิจัยที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ และการทำงานแบบบูรณาการของบุคลากรจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น  เพื่อให้ประชาชนเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิถีการดำเนินชีวิตที่ยั่งยืน
    1.3 วิจัยประเมินผลการนำแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) มาใช้ในการส่งเสริม รักษา ป้องกัน และ
ฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลทั้งในคลินิก และชุมชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยและผู้ดูแลโรคหลอดเลือดสมอง
                1.4  ศึกษาต้นทุนค่าใช้จ่ายและประสิทธิผลที่ได้รับ (Cost-effectiveness) ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งที่บ้านและโรงพยาบาล
                1.5 ควรศึกษาปัจจัยทำนายที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม เช่น พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ  พฤติกรรมการควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง  การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย  การส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้ดูแลโรคหลอดเลือดสมอง หรือปัจจัยการเข้ารับการรักษาซ้ำในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
               1.6 ทบทวนองค์ความรู้จากรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองที่ดำเนินการกับประชากรในจังหวัดสระบุรี เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดสร้างองค์ความรู้ใหม่ต่อไป 
2.             การพัฒนาคุณภาพงานวิจัยของวิทยาลัย 
3.              การขยายเครือข่ายความร่วมมือการทำงานและการเชื่อมต่อข้อมูลบุคคลกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดสระบุรี
                  วิทยาลัยมีการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาบัณฑิตให้เป็นผู้ที่มีสมรรถนะในการสร้างเสริมป้องกันและควบคุมโรคในบุคคลกลุ่มเสี่ยงและการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์   ดังนั้นทางวิทยาลัยจึงควรมีการขยายเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนางานโรคหลอดเลือดสมองร่วมกับองค์กรภาครัฐและเอกชนในจังหวัดสระบุรี  รวมทั้งควรมีการพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารและการเชื่อมต่อฐานข้อมูลบุคคลกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในจังหวัดสระบุรี เพื่อช่วยติดตามข้อมูลสถานการณ์การเจ็บป่วยโรคหลอดเลือดสมองและร่วมหาแนวทางป้องกันช่วยเหลือต่อไป
รายงานการสังเคราะห์ความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอน
เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักศึกษาพยาบาลในการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
.................................................................
จากการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัยและการจัดการความรู้ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ตามเกณฑ์การวิเคราะห์คุณภาพงานวิจัย โดยคณะอนุกรรมการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัย ได้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์(EBN) ตามองค์ประกอบการจัดการเรียนการสอน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การเตรียมความพร้อม   2) รูปแบบวิธีการสอน และ 3) การประเมินผล ดังรายละเอียดต่อไปนี้


ข้อเสนอแนะ (Recommendation)
1.  เตรียมความพร้อมก่อนการเรียนได้แก่การเตรียมนักศึกษา  อาจารย์ และสิ่งแวดล้อม
     1.1 เตรียมนักศึกษา
      ก่อนการจัดการเรียนการสอน EBN อาจารย์ควรเตรียมนักศึกษาดังนี้
·       เตรียมความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการ EBN (3C)
·       พัฒนาทักษะการอ่านรายงานวิจัยภาษาอังกฤษ (3C)
·       ปลูกฝังทัศนคติต่อการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ( 2 )
·       นักศึกษาควรเรียนวิชาวิจัยทางการพยาบาลมาก่อน (3C)
     1.2  เตรียมอาจารย์
ก่อนการจัดการเรียนการสอน EBN ควรเตรียมความพร้อมของอาจารย์ดังนี้
·     เตรียมความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการ EBN ( 4 ) เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (4)
·     เตรียมทักษะในการเรียนการสอนตามขั้นตอนของ EBNทั้งในการเตรียมการสอน การดำเนินการสอน  และการประเมินผล (3C)
       1.3 เตรียมสิ่งแวดล้อม
·     สร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการเรียนรู้ EBN เช่น ห้องเรียนที่เป็นสัดส่วน  การสนับสนุนของแหล่งฝึก และ ความร่วมมือของญาติและผู้ป่วย (3C )
·     จัดเตรียมทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ EBN เช่น คอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล วารสาร (3C)

2. วิธีการเรียนการสอน
·       ฝึกทักษะผู้เรียนตามกระบวนการ EBN ได้แก่ การตั้งคำถามโดยใช้ PICO model  การสืบค้นหลักฐาน การประเมินคุณภาพของหลักฐาน การตัดสินใจใช้หลักฐาน การนำไปปฏิบัติ และ การประเมินผลการปฏิบัติ ( 2 )
·       ฝึกทักษะการใช้กระบวนการ EBN ในทุกรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง (3C)
·       อาจารย์ควรสอนภาคปฏิบัติโดยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี  ได้แก่ การใช้เทคนิคส่งเสริมการเรียนรู้  การให้คำแนะนำและกำลังใจ (3C)
·       ควรนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิจัยทางการพยาบาลมาใช้ในการพิจารณาออกแบบการเรียนการสอนและจัดกลุ่มผู้เรียนในการฝึกภาคปฏิบัติ (3C)
·       อาจารย์ควรพัฒนาความสามารถในการอ่านรายงานวิจัยภาษาอังกฤษของนักศึกษา (3C)

3. การประเมินผล
      การประเมินผลการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ EBN โดย
·       ประเมินการเรียนรู้ ENB ของผู้เรียนทุกขั้นตอนของกระบวนการ EBN อย่างต่อเนื่อง ( 4 )
·       การสะท้อนคิด (reflection) ( 4 )
·       ให้ผู้เรียนประเมินสมรรถนะ  EBN ของตนเองด้วยแบบประเมินสมรรถนะ EBN ( 4 )
·       ให้ผู้เรียนประเมินกระบวนการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ  EBN ด้วยแบบประเมินประสิทธิภาพการสอน และแบบสอบถามความต้องการของนักศึกษาเกี่ยวกับความต้องการการเรียน EBN ( 4 )


จุดอ่อนและจุดแข็งของงานวิจัยด้านการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
 จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยในภาพรวมพบว่ามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน  ในด้านจุดแข็งคือ การได้องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน EBN ตัวอย่างเป็นตัวแทนของประชากรที่ได้มาโดยการสุ่ม    มีการใช้เครื่องมือชุดเดียวกันในงานวิจัยทั้ง 4 เรื่อง และได้ผลงานวิจัยที่ตอบวัตถุประสงค์การวิจัย ในด้านจุดอ่อน พบว่ามีการคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ขนาดอิทธิพลยังไม่ชัดเจน การนำเสนอรายละเอียดที่ทำให้มั่นใจว่าเครื่องมือวิจัยมีคุณภาพจริง รูปแบบการเขียนรายงาน และข้อค้นพบปัญหาการเรียน EBN ยังไม่สามารถระบุขนาดของปัญหาได้
แนวทางการพัฒนางานวิจัย
          ผลการศึกษานำไปสู่ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยและการปรับปรุงงานวิจัย ดังนี้
1. โจทย์วิจัยที่ควรค้นหาคำตอบเพิ่มเติมเพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่สมบูรณ์มากขึ้นเกี่ยวกับ
1.1 การนำผลการวิจัยมาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลมีผลต่อภาวะสุขภาพของผู้รับบริการอย่างไร
              1.2 ผู้รับบริการมีความพึงพอใจมากขึ้นหรือไม่เมื่อมีการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
1.3. มีองค์ประกอบอะไรบ้างจากหน่วยงานหรือจากผู้บังคับบัญชาที่กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมุ่งมั่นหรือต้องการทำวิจัยและนำผลงานวิจัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน
1.4 ควรศึกษามุมมองของผู้สอน content analysis ควรทำโดยผู้วิเคราะห์ 2 คน เพื่อตรวจสอบความตรงของผลการวิจัย
1.5 ควรมีการวิจัยสำรวจความรุนแรงของปัญหาโดยการนำข้อมูลเชิงคุณภาพมาใช้
1.6 ควรศึกษาปัจจัยทำนายความสามารถให้เห็นชัดเจนว่าตัวแปรแต่ละตัวมีอิทธิพลต่อสมรรถนะมากน้อยเพียงไร โดยเขียนเป็นสมการทำนาย
2. พัฒนาเครื่องมือวัดสมรรถนะการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ให้ครบตามวงจรของ EBN และนำมาใช้ศึกษาติดตามปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถและทัศนคติของนักศึกษาภายหลังสำเร็จการศึกษา
3. การคำนวณกลุ่มตัวอย่างควรมีความชัดเจนโดยใช้ค่าขนาดอิทธิพลจากการศึกษานำร่องเป็นตัวเลขที่นำมาใช้คำนวณและ. แสดง Effect size ในแต่ละคู่ว่ามีขนาดเท่าใดเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินความเพียงพอ
4. ควรมีการตรวจสอบรูปแบบการเขียนรายงานวิจัยก่อนการทำเล่มเผยแพร่

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รายงานการสังเคราะห์ความรู้การจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักศึกษาพยาบาลในการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์

     วิชาชีพการพยาบาลมีการพัฒนาองค์ความรู้จากการวิจัยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการวิจัยทางการ
พยาบาลเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันมีผลงานวิจัยทางการพยาบาลและสุขภาพตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารและฐานข้อมูลทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจำนวนมากที่พยาบาลสามารถจะสืบค้นได้อย่างรวดเร็วในหัวข้อเรื่องที่สนใจและนำความรู้หรือข้อค้นพบจากบทความหรือรายงานวิจัยที่สืบค้นได้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจปฏิบัติการพยาบาล อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าถึงแม้ว่าจะมีผลงานวิจัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากแต่พยาบาลมีการใช้หลักฐานจากการวิจัยมาประกอบการตัดสินใจปฏิบัติการพยาบาลไม่มากนัก ดังที่วู๊ด (Wood, 2008) พบว่าในปัจจุบันยังคงมีช่องว่างระหว่างการวิจัยกับการปฏิบัติทางคลินิก และอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่จะนำการวิจัยสู่การปฏิบัติได้ประสบความสำเร็จ พยาบาลมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้วิธีการปรึกษากับเพื่อนร่วมงานเป็นแหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลอีกทั้งไม่มีการค้นหาหลักฐานจากผลงานวิจัยเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจปฏิบัติการพยาบาล ดังผลการศึกษาของธีลและโกส(Thiel & Ghosh, 2008) ในการสำรวจความพร้อมของพยาบาลต่อการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence based practice; EBN) ของพยาบาลในโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยเฉียบพลันในแถบตะวันตกตอนกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาที่พบว่าถึงแม้ว่าพยาบาลมีเจตคติที่ดีต่อการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ยังมีความรู้เกี่ยวกับ EBP ในระดับปานกลางและส่วนใหญ่ร้อยละ 72.5 ใช้วิธีการปรึกษาเพื่อร่วมกันหรือผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่าจะหาข้อมูลจากวารสารหรือตำรา มีเพียงร้อยละ 24 ที่ใช้ฐานข้อมูลสุขภาพ
     จากประเด็นดังกล่าวจึงเกิดคำถามว่า “ทำไมพยาบาลจึงไม่ใช้ผลการวิจัยและเราจะปิดช่องว่าง
ระหว่างการวิจัยกับการปฏิบัติได้อย่างไร?” ในการตอบคำถามนี้ได้มีการอภิปรายนำเสนอการใช้แนวคิด EBN เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างการวิจัยสู่การปฏิบัติในคลินิกโดยมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติแบบดั้งเดิมไปสู่การปฏิบัติวิธีใหม่ที่มีความชัดเจนในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้รับบริการ หรือเป็นการปฏิบัติแบบเดิมที่มีหลักฐานยืนยันในประสิทธิผล EBN เป็นวิธีการแก้ปัญหาในการดูแลสุขภาพของผู้รับบริการโดยใช้หลักฐานที่ดีที่สุดจากการศึกษาค้นคว้าวิจัย ข้อมูลของผู้ป่วยความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ และความชอบของผู้รับบริการมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจให้บริการภายใต้การสนับสนุนของสถานพยาบาลซึ่งจะส่งผลให้บรรลุเป้าหมายของการดูแลที่มีคุณภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้รับบริการ (Melnyk, et al., 2009)ดังนั้นการพัฒนาวิชาชีพพยาบาลในปัจจุบันและอนาคตจึงมุ่งสู่การนำ EBN ไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลที่มีคุณภาพและความปลอดภัย