วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี
รายงานสรุปสาระสำคัญของการประชุมวิชาการ
เรื่อง “การจัดการศึกษาพยาบาลสำหรับศตวรรษที่
21”
ณ
โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2557
……………………………
โดย อ. วารุณี
มีเจริญ
การจัดการศึกษาวิชาชีพสุขภาพเพื่อการเป็นผู้นำในประชาคมอาเซียน
(กำจร ตติยกวี, 2557)
การจัดการศึกษาในวิชาชีพด้านสุขภาพในปัจจุบันควรมุ่งเน้นที่การพัฒนาคนสู่สังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน
เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันระดับสากล
โดยใช้หลักสูตรที่ได้การรับรองในระดับอาเซียนหรือระดับโลกเพื่อให้เกิดทักษะแห่งศตวรรษที่
21
ทักษะแห่งศตวรรษที่
21 ที่สำคัญได้แก่ 7 Cs
skill of 21st Century Learning
1.
Critical
thinking and problem solving-เรียนรู้แนวคิดและลักษณะสังคมไทยอย่างวิเคราะห์วิจารณ์
2.
Creativity
and innovation – เข้าใจวัฒนธรรมอาเซียนและวัฒนธรรมตะวันตกในเรื่องที่มาและผลกระทบ
3.
Collaboration,
Teamwork and Leader-รู้จักตนเองพร้อมมองเห็นคุณค่าที่แท้ของสิ่งของและนวัตกรรม
4.
Cross-culture
understanding-เข้มแข็งในจริยธรรม
ความรับผิดชอบและความดีความงามของสังคมไทยและอาเซียน
5.
Communications,
Information and Literacy-ตามทันกระบวนการผลิตใหม่และสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
ๆ เองได้อย่างกว้างขวาง
6.
Computing
and It Literacy-เข้าใจคนอื่นและรู้วิธีนำการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
7.
Career
and Learning self-reliance-ออกแบบและร่วมพัฒนาทิศทางของสังคมที่เหมาะสมได้
การจัดการศึกษาด้านสุขภาพสำหรับศตวรรษที่
21:
จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ (ประสิทธิ์
วัฒนาภา, 2557)
การจัดการศึกษาด้านสุขภาพสำหรับศตวรรษที่
21 มุ่งเน้นให้มี Transformative
education ตามข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลกเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะแห่งศตวรรษที่
21 ซึ่งทฤษฎีหรือหลักการของ Transformative education
มีหลากหลายมุมมอง โดยเน้นให้มีการปรับเปลี่ยนมุมมองของเรื่องราวต่าง ๆ
โดยเฉพาะมิติด้านจิตวิทยา ด้านความเชื่อ
และด้านพฤติกรรม องค์การอนามัยโลกได้ข้อสรุปสำหรับเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาด้านสุขภาพ
โดยวัตถุประสงค์และหลักสูตรควรต้องพิจารณาในประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1.
การจัดการศึกษาด้านสุขภาพควรต้องเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่ให้บริการ
และระบบการให้บริการด้านสุขภาพของประเทศ
2.
การกำหนดลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิตด้านสุขภาพ
ควรต้องได้รับความคิดเห็นจากผู้รับผิดชอบหรือมีส่วนร่วมในระบบสุขภาพของประเทศ
3.
หลักสูตรครต้องมีการประสานของหลักสูตรทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง
รวมทั้งเชื่อมโยงวิชาพื้นฐานกับวิชาทางคลินิก
4.
ควรมีการพัฒนาอาจารย์ที่สอนการศึกษาด้านสุขภาพให้เข้าใจระบบสุขภาพของประเทศ
5.
การกำหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
ต้องมั่นใจว่าบัณฑิตมีความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อสังคมและชุมชน
รวมทั้งให้บริการด้วยความยินดี สมัครใจ และด้วยสมรรถนะ (Competency) ที่เหมาะสมและเพียงพอ
6.
สาระในแต่ละหลักสูตรควรมีบางส่วนที่มีการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักศึกษาของแต่ละวิชาชีพ
ซึ่งจะสอดคล้องกับลักษณะการทำงานจริง
7.
หลักสูตรต้องได้มาตรฐาน โดยมีระบบรับรองหรือประกันคุณภาพ
8.
บุคลากรด้านสุขภาพควรต้องได้รับการพัฒนาทักษะและความรู้ด้านวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
โดยมีระบบรองรับ
9.
หลักสูตรควรครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่
21
นอกจากนี้วิธีการจัดการเรียนการสอนควรยึดหลักการ
“สอนให้น้อยลง แต่ให้เรียนรู้ให้มากขึ้น (Teach less, Learn more)”
โดยรูปแบบหรือวิธีการที่หลากหลาย ได้แก่
-
การเรียนรู้จากสถานการณ์จริง (Authentic learning)
-
การส่งเสริมให้ใช้การสร้างแรงจูงใจภายในเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีมากขึ้น (Internal
motivation)
- Mental model building
- Social
learning การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย
- Technology-assisted
learning
- Learning by
doing เรียนรู้โดยการปฏิบัติ
สถานการณ์การจัดการศึกษาพยาบาลในประเทศไทย
(ดรุณี รุจกรกานต์, 2557)
ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาพยาบาลที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี
จำนวน 83 สถาบัน โดยในปีการศึกษา 2556รับนักศึกษาใหม่จำนวน 9,485 คน
โดยวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกรับนักศึกษาจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ
36 ทั้งนี้ในปีการศึกษา 2556
พบว่าจำนวนอาจารย์พยาบาลในสังกัดสกอ.และเอกชนมีจำนวนเพิ่มขึ้น
แต่ในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกและอื่น ๆ มีจำนวนอาจารย์ลดลง
มีการศึกษาสถานการณ์การจัดการศึกษาพยาบาลสำหรับศตวรรษที่
21 ของสถาบันการศึกษาพยาบาล พบว่า สถาบันต่าง ๆ มีการบริหารองค์กรที่แตกต่างกัน
แต่ทุกสถาบันปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ประกาศโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกส่วนใหญ่มีความพอเพียงของงบประมาณในด้านการจัดการศึกษาในทุกด้าน ความพร้อมในการพัฒนาทักษะนักศึกษาสำหรับศตวรรษที่
21 ของวิทยาลัยในสังกัดสบช.
ส่วนใหญ่มีความพร้อมในระดับมากด้านการส่งเสริมให้อาจารย์ปรับการเรียนการสอนที่ทันสมัย
รองลงมาคือด้านการพัฒนาทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้านสนับสนุนงบประมาณด้าน ICT และการใช้ห้องเรียนกลับทาง (Flipped classroom)
ตามลำดับ
ผลการสำรวจวิธีการจัดการเรียนการสอนพบว่า
มีสถาบันร้อยละ 50-80 ใช้การบรรยาย โดยไม่มีสถาบันใดที่ใช้วิธีการบรรยายอย่างเดียว
มีการใช้วิธีการสอนที่ค่อนข้างหลากหลาย
สำหรับผลการเรียนรู้ของนักศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับดีทุกด้าน
และทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่อยู่ในระดับดี-ดีมากได้แก่
ทักษะในกลุ่มทักษะชีวิตและการทำงาน และทักษะทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลการศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะคือ
ควรมีการรวมตัวของสถาบันการศึกษาพยาบาลเพื่อร่วมกันกัน Reform การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะในศตวรรษที่ 21
ควรมีการติดตามความเคลื่อนไหวและร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านสุขภาพ
และควรพัฒนาเครือข่ายกลุ่มสถาบันสาขาพยาบาลศาสตร์ในการจัดการความรู้สาขาพยาบาลศาสตร์
แนวคิด Flipped Classroom
(วิจารณ์ พานิช, 2556)
ห้องเรียนกลับทาง
(Flipped Classroom) เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นจากประสบการณ์การสอนในชั้นเรียนของ
Jonathan Bergmann และ Aaron Sams ซึ่งพวกเขาเป็นครูวิชาเคมีของโรงเรียน
Woodland Park High School รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
และได้เขียนหนังสือที่ชื่อ Flip Your Classroom : Reach Every Student in
Every Class Every Day ขึ้น ผู้เขียนทั้ง ๒ ท่านนี้
ได้ค้นพบวิธีเรียนรู้แบบกลับทาง คือเรียนวิชาที่บ้าน ทำการบ้านที่โรงเรียน
หรือรับถ่ายทอดความรู้ที่บ้าน แล้วมาสร้างความรู้ต่อยอดจากวิชาที่รับถ่ายทอดมา
ให้เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับชีวิต ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีพลัง
เกิดทักษะที่เรียกว่า “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21”
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 1. เริ่มจากการทำงานในหน้าที่ครูสอน
ห้องเรียนกลับทางมีกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นจากจิตวิญญาณความเป็นครูเพื่อศิษย์ของครูบ้านนอกในสหรัฐอเมริกา
2 คน คือ Jonathan Bergman และ Aaron Sams ที่ต้องการช่วยนักเรียนที่มีปัญหาตามชั้นเรียนไม่ทัน เพราะต้องขาดเรียนไปเล่นกีฬาหรือไปทำกิจกรรม หรือเพราะเขาเรียนรู้ได้ช้า ICTช่วยให้ครูทำวิดีโอสอนวิชาได้โดยง่าย และเอาไปแขวนไว้บนอินเทอร์เน็ตได้ฟรี
ให้ศิษย์ที่ขาดเรียนเข้าไปเรียนได้ ศิษย์ที่เรียนช้าก็เข้าไปทบทวนได้อีก ไม่ต้องพึ่งการจดผิดๆ
ถูกๆ ตกๆ หล่นๆ อีกต่อไป ครู
ไม่ต้องสอนซ้ำแก่เด็กที่ขาดเรียนไปทำกิจกรรม แต่คุณค่าของวิดีโอบทเรียนที่แขวนไว้บนอินเทอร์เน็ตไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
มันนำไปสู่การกลับทางการเรียนรู้ของศิษย์ วิดีโอบทเรียนที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ช่วยให้นักเรียนไม่จำเป็นต้องใช้เวลาที่โรงเรียนในการเรียนเนื้อวิชา แต่ใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อตนเองมากกว่านั้น คือใช้สำหรับฝึกแปลงเนื้อความรู้ไปเป็นสาระหรือความเข้าใจที่เชื่อมโยงกับโลกหรือกับชีวิตจริง
ซึ่งช่วงเวลาฝึกหัดนี้ต้องการความช่วยเหลือจากครู การกลับทางการเรียนไม่ใช่สูตรสำเร็จของวิธีการ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด (mindset) เปลี่ยนความสนใจจากที่ครูมาเป็นที่นักเรียน
และที่การเรียนรู้และครูที่กลับทางการเรียนรู้จัดการเรียนรู้แตกต่างกัน
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง : 2.
ห้องเรียนกลับทางเป็นอย่างไร
เวลาของครูจะใช้สำหรับมีปฏิสัมพันธ์สองทางกับศิษย์
ทำให้เด็กที่เรียนช้าหรือหัวช้าได้รับการเอาใจใส่ ครูจะไม่ยืนอยู่หน้ากระดานดำที่หน้าชั้นอีกต่อไป
แต่จะเดินไปเดินมาในชั้น เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ที่มีปัญหา
กิจกรรมที่ครูกำหนดเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ได้แก่
1.
กิจกรรมการเรียนรู้ก่อนเข้าชั้นเรียน
โดยฝึกวิธีดูวิดีโอที่บ้านอย่างได้ผลดีให้แก่เด็ก
แนะนำให้ขจัด
สิ่งรบกวนสมาธิต่าง
ๆ แนะนำให้กดปุ่มหยุด เพื่อจดบันทึกประเด็นสำคัญหรือคำถาม แนะนำให้ไปศึกษา วิธีจดบันทึกประเด็นสำคัญ จดคำถาม หรือส่วนที่ไม่เข้าใจ
2.
กิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน เริ่มด้วยการใช้เวลาสั้นๆ
ทบทวนวิดีทัศน์ และตอบคำถามสิ่งที่ไม่
เข้าใจหลังดูวิดีทัศน์
ซึ่งจะช่วยให้ครูได้แก้ไขความเข้าใจผิดของนักเรียนบางคน หรือถ้าเด็กทั้งชั้นเข้าใจผิดก็แสดงว่าวิดีทัศน์มีข้อบกพร่อง
ครูจะได้แก้ไข หลังจากนั้นครูมอบงานให้ทำ
โดยอาจเป็น lab
หรือเป็นกิจกรรมค้นคว้า โครงงานหรือกิจกรรมแก้ปัญหา หรือการทดสอบ มีการให้คะแนนจากการทดสอบ
เช่นเดียวกับการสอนแบบเดิม
จะเห็นได้ว่าบทบาทของครูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
คือไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่บทบาทเป็นติวเตอร์หรือเป็นโค้ช
หรือเป็นผู้จุดประกาย โดยการตั้งคำถามยุแหย่ให้เด็กคิด
สร้างความสนุกสนานในการเรียน และเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียน
ครูจะเน้นช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักการ
ไม่ใช่ท่องจำ หัวใจคือครูเน้นทำหน้าที่ช่วยแนะนำการเรียนของเด็ก
ไม่ใช่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้
ครูเปลี่ยนจากบทบาทปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนทั้งชั้น
เป็นมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเป็นรายคน
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 3.
ทำไมจึงควรกลับทางห้องเรียน
เหตุผลที่ควรกลับทางห้องเรียนสรุปได้ดังนี้
-
เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครู
จากบรรยายหน้าชั้น หรือเป็นครูสอน ไปเป็น ครูหรือเป็นครูติวเตอร์
-
เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบ คือ ไอซีที หรืออาจเรียกว่าเป็นการนำโลกของ
โรงเรียน
เข้าสู่โลกของนักเรียน คือโลกดิจิตัล
- ช่วยเด็กที่มีงานยุ่ง ต้องขาดเรียนไปแข่งขันกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่นเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักจัดการเวลาของตน
- ช่วยเด็กเรียนอ่อนที่ขวนขวาย ในห้องเรียนกลับทาง
เด็กเหล่านี้จะได้รับความเอาใจใส่ของครูมากที่สุด
คือครูเอาใจใส่เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
-
ช่วยเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกัน ให้ก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถของ
ตน เพราะเด็กสามารถฟังวิดีทัศน์กี่รอบก็ได้
หยุดตรงไหนก็ได้ กรอกลับก็ได้
- ช่วยให้เด็กสามารถหยุด
และกรอกลับครูของตนได้ ทำให้เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตน
พอใจ เบื่อก็หยุดพักได้
-
ช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น
การกลับทางห้องเรียน ยังคงเป็นการเรียนแบบนักเรียนมาโรงเรียน
และนักเรียนสัมผัสครู
ห้องเรียนกลับทางเป็นการใช้พลังทั้งของระบบ ออนไลน์ และระบบพบหน้า ช่วยเปลี่ยนหรือเพิ่มบทบาทของครู ให้เป็นทั้ง
พี่เลี้ยง (mentor),
เพื่อน เพื่อนบ้าน (neighbor) และผู้เชี่ยวชาญ (expert)
- ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนดีขึ้น หน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้วิชา
หรือเนื้อหา แต่ต้อง
กระตุ้นแรงบันดาลใจ
(inspire) ให้กำลังใจ รับฟัง
และช่วยส่งเสริมให้เด็กฝันถึงอนาคตของตน
นั่นคือมิติของความสัมพันธ์
ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของศิษย์
-
ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนกันเอง มีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของนักเรียน จาก
เรียนเพื่อทำตามคำสั่งครู หรือทำงานเพื่อให้เสร็จตามข้อกำหนด เป็นเรียนเพื่อตนเอง
เพื่อการเรียนรู้ของตน
ไม่ใช่เพื่อคนอื่น
มีผลให้เด็กเอาใจใส่การเรียน
-
ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง
โดยธรรมชาติ เด็กในชั้นเรียนเดียวกันมีความแตกต่างกัน
มาก มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน การกลับทางชั้นเรียนช่วยให้ครูเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน
เพื่อนนักเรียนด้วยกันก็เห็น และช่วยเหลือกันด้วยจุดแข็งของแต่ละคน
- เป็นการเปลี่ยนการจัดการห้องเรียน ปัญหาที่พบบ่อยในชั้นเรียนจะหายไปเนื่องจากในห้องเรียนกลับทาง
นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการ ไม่ใช่เป็นผู้รับถ่ายทอดอย่างในห้องเรียนแบบเดิม ไม่มีครูมายืนสอนปาวๆ
หน้าชั้นให้น่าเบื่อหน่ายอีกต่อไป
-
ช่วยให้การศึกษาแก่พ่อแม่ และคนในครอบครัว
พ่อแม่เด็กบางคนดูวิดีทัศน์ไปพร้อมกับลูก
บางบ้านดูกันทั้งบ้านก็มี ทำให้ผู้ใหญ่ก็ได้เรียนวิชานั้นไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่ด้อยโอกาส
-
ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจัดการศึกษา
การกลับทางห้องเรียน เอาคำสอนในวิดีทัศน์ ไปไว้บน
อินเทอร์เน็ต
เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระของการเรียนแก่สาธารณะ
เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของการเรียนการสอน ให้แก่ผู้ปกครอง นำไปสู่การเรียนรู้แบบ
flipped-mastery
approach
สรุปว่า
การกลับทางห้องเรียน เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับช่วยให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดี ย้ำคำว่า “อย่างหนึ่ง” เพราะการเรียนรู้ที่ดียังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลากหลายประการ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเป็นครูที่ดี ต้องทำมากกว่าการกลับทางห้องเรียน
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 4. วิธีดำเนินการกลับทางห้องเรียน
ครูต้องไม่หลงเข้าใจผิดว่า
ส่วนสำคัญที่สุดในการเรียนแบบกลับทางห้องเรียนอยู่ที่วิดีทัศน์ ตรงกันข้าม เวลาสำคัญที่สุดของการเรียนแบบนี้อยู่ที่เวลาเรียนในห้องเรียน
ครูจะต้องประเมินคุณค่าของเวลาช่วงนี้ และออกแบบแล้วปรับปรุง
เพื่อให้เป็นเวลาที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้สูงสุดของเด็ก
คือเกิดการเรียนรู้ในมิติที่ลึกและเชื่อมโยง มากกว่าการเรียนแบบเดิม
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 5. ห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
การเรียนแบบรู้จริง
ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของเด็ก เพิ่มความร่วมมือระหว่างนักเรียน
เพิ่มความมั่นใจตนเองของนักเรียน
และช่วยให้โอกาสนักเรียนได้แก้ตัวในการเรียนรู้ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์หากพลาดในรอบแรก
การเรียนรู้แบบรู้จริง
จะช่วยให้เด็กประมาณร้อยละ ๘๐ สามารถเรียนเนื้อสำคัญได้ เทียบกับร้อยละ ๒๐
เมื่อใช้วิธีสอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หลักการสำคัญของการเรียนแบบรู้จริง คือ
ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ชุดหนึ่งตามอัตราเร็วของการเรียนรู้ของตน ไม่ใช่ต้องเรียนตามอัตราเร็วที่ครูหรือชั้นเรียนกำหนด การเรียนแบบนี้
นักเรียนต้องเรียนวัตถุประสงค์ไล่ตามลำดับพื้นความรู้ก่อนหลัง คือต้องเข้าใจพื้นความรู้ชุดที่ ๑ เสียก่อน
จึงจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจบทเรียนที่ ๒ ได้
ลักษณะสำคัญของการเรียนแบบรู้จริงคือ
-
นักเรียนเรียนเป็นกลุ่ม หรือเดี่ยวๆ ตามอัตราเร็วที่เหมาะสม
-
ครูคอยประเมินการเรียนรู้ (formative assessment) และวัดความเข้าใจ
ของศิษย์ นักเรียนพิสูจน์ว่าตนเรียนรู้วัตถุประสงค์นั้น
เข้าใจอย่างแท้จริง โดยสอบผ่านข้อสอบ (summative assessment) นักเรียนที่ยังสอบไม่ผ่านวัตถุประสงค์ข้อใด
ได้รับการช่วยเหลือ
องค์ประกอบของห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ได้แก่ กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ให้ชัดเจน
ไตร่ตรองว่าวัตถุประสงค์ส่วนไหนควรเรียนแบบลงมือทำหรือ inquiry ส่วนไหนควรเรียนแบบรับ ถ่ายทอด ให้แน่ใจว่านักเรียนเข้าถึงวิดีทัศน์เพื่อเรียนสาระวิชา สร้างกิจกรรมให้นักเรียนลงมือทำเพื่อเรียนรู้ในชั้นเรียน
สร้างวิธีสอบหลายวิธีเพื่อพิสูจน์ว่านักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุ ประสงค์
ในแต่ละบทเรียน
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 6.
ลักษณะของห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ลักษณะของห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ประกอบด้วย
1.
สอนให้นักเรียนรับผิดชอบการเรียนของตนเอง
2.
ทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย
3.
การเรียนรู้เป็นศูนย์กลางของห้องเรียน
4.
การเรียนรู้แบบกลับทางและเรียนให้รู้จริงให้บริการ
feedback
แก่เด็กในทันที และลดเอกสารที่ครูต้องทำ
5.
การเรียนแบบรู้จริง
ช่วยให้นักเรียนมีโอกาสได้เรียนเสริม
6.
การเรียนแบบรู้จริงเปิดช่องให้นักเรียนเรียนรู้สาระด้วยหลากหลายวิธี
7.
การเรียนแบบรู้จริงเปิดช่องให้นักเรียนแสดงภูมิรู้ได้หลากหลายแบบ
8.
การเรียนแบบรู้จริงเปลี่ยนบทบาทของครู
9.
การเรียนแบบรู้จริงช่วยให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียน
ไม่ใช่รับจ้างมาโรงเรียน
10.
วิธีเรียนแบบรู้จริงจัดซ้ำง่าย
ขยายขนาดชั้นเรียนง่าย และจัดให้เหมาะต่อเด็กเป็นรายคนได้ง่าย
11.
วิธีเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริงช่วยเพิ่มเวลาพบหน้าระหว่างครูกับ
ศิษย์
12.
การเรียนแบบรู้จริงช่วยให้นักเรียนทุกคนอยู่กับการเรียน
13.
การเรียนแบบรู้จริงทำให้การลงมือทำเป็นการเรียนแบบที่เหมาะต่อเด็กแต่ละคน
14.
ชั้นเรียนแบบรู้จริงช่วยให้เด็กติดตามการสาธิตของครูอย่างใกล้ชิด
15.
ชั้นเรียนแบบกลับทางห้องเรียนและเรียนให้รู้จริงเปิดโอกาสให้ครูช่วยเหลือ
นักเรียน
ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง
: 7. วิธีดำเนินการ
การดำเนินการห้องเรียนกลับทางและเรียนให้รู้จริง
ควรดำเนินการดังนี้
1.
ในวันแรกครูอธิบายประโยชน์ของการเรียนแบบใหม่
และให้เด็กดูวิดีทัศน์อธิบายวิธีเรียนแบบนี้ ในวิดีทัศน์มีนักเรียนรุ่นก่อนอธิบายว่าวิธีเรียนแบบใหม่ดีต่อนักเรียนอย่างไร
2.
แจ้งให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบเรื่องการเรียนแบบใหม่
3.
สอนวิธีดูและจัดการวีดิทัศน์
4.
กำหนดให้นักเรียนตั้งคำถามที่น่าสนใจ
5.
วางรูปแบบห้องเรียนแบบกลับทางและเรียนให้รู้จริง
6.
ให้เด็กได้จัดการเวลาและงานของตนเอง
7.
ส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือกันเอง
8.
สร้างระบบประเมินที่เหมาะสม
9.
มีการประเมินเพื่อปรับปรุง (Formative
Assessment)
10.
ถามคำถามที่ถูกต้อง ในการทดสอบแบบ formative
11.
มีการสอบแบบได้-ตก (Summative
Evaluation) เพื่อดูว่าเด็กบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่
12.
ครูต้องหาวิธีป้องกันเด็กโกงสอบ
ให้ผู้เรียนมีความซื่อสัตย์ในการสอบ
13.
ใช้เครื่องช่วยการสอบเพื่อผล ได้-ตก เช่น
ใช้
computer-generated exam
14.
ครูต้องไตร่ตรอง
ว่าในการเรียนแบบรู้จริงนั้น การให้ผลสอบ A-F มีความหมายอย่างไร
แตกต่างจาก A-F โดยทั่วๆ ไปอย่างไร
บทสรุป ลักษณะสำคัญที่สุดของห้องเรียนกลับทาง
คือกลับทางจุดสนใจจากตัวครูและการสอนของครู ไปที่ตัวเด็กและการเรียนของเด็ก
http://www.se-edlearning.com/wp-content/uploads/2013/11/flip.pdf