วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รูปแบบการเรียนการสอนแบบ CRP



สมจิตต์  สินธุชัย

บทนำ
กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกก้าวเข้าสู่ยุคสังคมแบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based economy)  กล่าวคือเป็นสังคมที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง ให้เป็นไปในทิศทางที่เจริญก้าวหน้า สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างทัดเทียม ส่งผลให้มีความจำเป็นต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพสูงสุด ซึ่งการศึกษาเป็นกลไกหลักดังกล่าว  ด้วยความสำคัญนี้โครงการวิจัยบูรณาการการเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ซึ่งมีรองศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์เป็นหัวหน้าโครงการ จึงได้กำหนดคุณลักษณะพึงประสงค์ 4 ร.และนำเสนอรูปแบบการสอนในการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนและใช้เป็นวิธีการสอนหลัก ในโครงการพัฒนารูปแบบการครุศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ (Creative and Productive Teacher Education CPTE) โดยเรียกชื่อ รูปแบบการสอนโดยรวมว่า รูปแบบการสอน CRP อันประกอบด้วย รูปแบบการเรียนการสอนแบบตกผลึก(Crystal-based Instructional Model) รูปแบบการเรียนการสอนด้วยวิธีวิจัย (Research-based Instructional Model) และรูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพ (Productivity-based Instructional Model) เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่คุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สอดคล้องกับแนวการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ในปัจจุบันต่อไป

คุณลักษณะพึงประสงค์ 4 ร.      
โครงการวิจัยการเปลี่ยนผ่านการศึกษาสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ ได้นำเสนอนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการด้านการศึกษาอันจะนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับสังคมแบบเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยนักวิจัยในโครงการได้ร่วมประชุมระดมความคิด และสรุปคุณลักษณะเด็กไทยที่พึงประสงค์สำหรับสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้เรียกว่า 4 ร. คือ 1) รู้ทันรู้นำโลก 2) เรียนรู้ชำนาญ เชี่ยวชาญการปฏิบัติ 3) รวมพลัง สร้างสรรค์สังคมไทย  และ 4) รักษ์วัฒนธรรมไทย ใฝ่สันติดังนี้ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์และคณะ, 2550:3-9 ; อุไรรัตน์ สำเริงวงษ์,2549 :46-49 )
          1.รู้ทันรู้นำโลก (Smart consumer) การพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้ที่รู้เท่าทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ต้องอาศัยความรู้และทักษะต่างๆ ได้แก่ 1) ทักษะในการแสวงหา คัดสรรและสร้างความรู้ ต้องตื่นตัวในการสืบค้นข้อความรู้ สามารถแยกแยะข้อเท็จจริง ประยุกต์ข้อความรู้เดิมให้เกิดเป็นข้อความรู้ใหม่ที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม 2) ทักษะการใช้และจัดการความรู้ ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรองอย่างรอบครอบ ถึงความสำคัญและคุณประโยชน์ของข้อมูล ข่าวสารและนำข้อมูลมาจัดกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ทักษะในการวิเคราะห์และแก้ปัญหา ต้องเป็นบุคคลที่ใช้เหตุผลในการประเมินและตัดสินปัญหามากกว่าการใช้อารมณ์ ความรู้สึก 4) ทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บุคคลจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะการใช้อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีโดยคำนึงถึงความเหมาะสม คล่องแคล่วและคุ้มค่า และ 5) ทักษะทางภาษาและการสื่อสาร ได้แก่การเรียนรู้วิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถพูด ฟังและจับใจความสำคัญได้ อ่านได้อย่างชัดเจนถูกต้องตามอักขระ และเขียนเพื่อแสดงความคิดได้หลากหลาย
         2.เรียนรู้ชำนาญ เชี่ยวชาญการปฏิบัติ (Breakthrough thinker) สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร การนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องอาศัย 1) การคิดใหม่ การคิดสร้างสรรค์และการคิดแจ้งแทงตลอด เป็นการคิดที่ไม่ยึดติดกรอบเดิม มองเห็นสิ่งต่างๆในมิติหรือมุมมองใหม่ๆ และสามารถนำความคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ กลั่นกลองจนเกิดเป็นองค์ความรู้หรือผลผลิตที่เป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้จริง และ 2) จิตมุ่งคุณภาพ มาตรฐานและความเป็นเลิศ การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคย่อมส่งผลให้งานชิ้นนั้นประสบความสำเร็จ
3.รวมพลัง สร้างสรรค์สังคมไทย (Social concern) การรวมพลังเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาสังคมหรือประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่น การพัฒนาจะเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อบุคคลในสังคมมองเห็นว่าปัญหาและทางออกของสังคมไทยจะต้องเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน โดย 1) การทำงานแบบร่วมมือเป็นทีมและสร้างเครือข่าย 2) ความสามารถในการบริหารจัดการ การจัดระบบและวางแผนการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย โดยมุ่งประโยชน์สูงสุดภายใต้เงื่อนไขของเวลา การเงินและทรัพยากรที่มี 3) การแข่งขัน อดทน สู้สิ่งยาก เป้าหมายหลักคือการแข่งขันกับตนเอง ส่งเสริมให้บุคคลตั้งเป้าหมายในชีวิตและกำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น และ 4) การเห็นแก่ส่วนรวม เป็นธรรมและยั่งยืน การร่วมแรงร่วมใจเสียสละประโยชน์ส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ นอกจากนี้คุณลักษณะที่สำคัญที่บุคคลในสังคมควรมีคือการมีคุณธรรม ไม่เห็นแก่ตัว
4.รักษ์วัฒนธรรมไทย ใฝ่สันติ (Thai pride) รักษ์ความเป็นไทย ยึดมั่นในสันติธรรม สังคมไทยต้องการบุคคลที่มีคุณธรรม รู้จักรากเหง้าและภูมิใจในความเป็นไทย เห็นคุณค่าในภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถเอาภูมิปัญญาดังกล่าวมาใช้เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นของตนอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนารูปแบบการการเรียนการสอนแบบ CRP
          คุณลักษณะพึงประสงค์ 4 ร.ที่กำหนดขึ้นเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนากระบวนการเปลี่ยนผ่านการศึกษาเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้  โดยการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะ 4 ร.ต้องอาศัยการจัดการศึกษาซึ่งมีผู้เสนอแนวคิด ทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอนที่จะทำให้เกิดคุณลักษณะดังกล่าว อย่างหลากหลาย เช่นการเรียนรู้แบบนำตนเอง การเรียนรู้แบบกำกับตนเอง ฯลฯ ซึ่งทีมโครงการพัฒนารูปแบบการครุศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพมีความคิดเห็นว่า  ควรจะผนวกแนวคิดดังกล่าวมาพัฒนาเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่มีขั้นตอนชัดเจน สะดวกกับการนำไปประยุกต์ใช้ จึงได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนทั้งหมด 3 รูปแบบคือ รูปแบบการเรียนการสอนตกผลึก (Crystal-Based Instructional Model)  รูปแบบการเรียนการสอนด้วยวิธีวิจัย (Research-Based Instructional Model) และรูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพ (Productivity-Based Instructional Model) ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนทั้ง 3 พัฒนาอย่างเป็นระบบจากแนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของผู้เรียนดังกล่าว

ทฤษฎี หลักการและแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ CRP
ทฤษฎี หลักการและแนวคิดที่เป็นรากฐานของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ CRP ประกอบด้วย 8 แนวคิด/ทฤษฎีหลัก ดังนี้  (จันทร์เพ็ญ เชื้อพานิช,2549:86;ไพฑูรย์ สินลารัตน์และคณะ,2550:33-35;ทิศนา แขมมณี,2554:126; สร้อยสนธ์ สกลรัตน์,2549:67-68)
1.    การเรียนรู้แบบกำกับตนเอง (Self-Regulated Learning)  คือการเรียนรู้ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแรงจูงใจที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนและดำเนินการเรียนรู้ตามแนวคิด 3 ระยะคือ 1)  กำหนดเป้าหมายและวางแผนในการเรียน 2) ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และ3) ประเมินผลการเรียนรู้ โดยอิงจากเป้าหมายและแผนที่วางไว้
2.    การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) คือการให้โอกาสผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งครอบคลุมการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง การตั้งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ การเลือกวิธีการเรียนรู้ แสวงหาแหล่งความรู้ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการประเมินตนเองโดยผู้สอนมีหน้าที่กระตุ้นและให้คำปรึกษา
3.    การเรียนรู้ในบริบทจริง (Situated Learning)  คือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกฝนด้วยการปฏิบัติในสถานการณ์จริงหรือในบริบทที่เหมือนจริง เน้นการใช้กระบวนการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งจูงใจให้ผู้เรียนกล้าที่จะปฏิบัติตามภาระงานที่ได้รับ และสามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพและเป็นรูปแบบของตนเองอย่างแท้จริง โดยผู้สอนต้องให้อิสระทางความคิดและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ถ้าผู้เรียนพบว่าความรู้เดิมของตนเองไม่เพียงพอผู้เรียนจะสร้างแรงจูงใจภายในซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง จนทำให้ผู้เรียนมีความเพียรพยายามที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
4.  การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co-operative Learning)   คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย 3-6 คน มีองค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการพึ่งพากันโดยทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากันเพื่อความสำเร็จร่วมกัน 2) การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด   เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด  3) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน โดยต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ   4) ใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการทำงานกลุ่มที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จ  และ 5) การวิเคราะห์กระบวนการทำงานกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มเรียนรู้และปรับปรุงงานให้ดีขึ้น
5.  การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Collaborative Learning) คือการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนตั้งแต่  2 คนขึ้นไปร่วมกันศึกษา ค้นคว้าและปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างเต็มความสามารถในเรื่องที่สมาชิกกลุ่มให้ความสนใจ เป็นการเรียนแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
6.    การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem -Based Learning)  คือการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียน (Learn to learn) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง ปัญหาที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ต้องมีความหมายและความสัมพันธ์กับผู้เรียน รวมทั้งน่าสนใจกระตุ้นความอยากรู้ อยากเห็นเพื่อดึงความสนใจของผู้เรียนให้เข้าสู่การคิดหาวิธีการหรือกระบวนการแก้ปัญหา
7.    การเรียนรู้แบบใช้วิจัยเป็นฐาน (Research- Based Learning)  คือการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีเครื่องมือในการเรียนรู้ตลอดชีวิต รู้จักสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความหมาย ตั้งข้อคำถามหรือมองเห็นปัญหา พร้อมทั้งหาคำตอบได้ด้วยตนเองจากการแสวงหาข้อมูลที่หลากหลาย วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวจนได้คำตอบที่มีเหตุผลเชื่อถือได้
8.    การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning)   คือการจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนได้ร่วมกันเลือกโครงการที่ตนสนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกตและกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลความรู้ที่จำเป็นและลงมือปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้จนได้ข้อค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียนรายงานแล้วนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูลแล้วนำผลงานและประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดค้นและสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมด
ทฤษฎี หลักการและแนวคิดทั้ง 8 หลักดังกล่าวนับเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ CRP ให้เป็นรูปแบบการเรียนการสอนเชิงรุกที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้การเปลี่ยนผ่านกระบวนการเรียนการสอนเข้าสู่ยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ดังแผนภูมิที่ 1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น