วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเรียนรู้โดยใช้ใช้ปัญหาเป็นหลัก
 
สมจิตต์  สินธุชัย
 
 
บทนำ

การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการตัดสินใจ  ผู้เรียนต้องสามารถเข้าถึงข้อมูล สรุป วิเคราะห์ และสังเคราะห์เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาได้  เป้าหมายของการเรียนรู้คงจะไม่ได้อยู่ที่ความรู้หรือเนื้อหาวิชาอีกต่อไป เพราะความรู้มีมากและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเกินกว่าที่หลักสูตรใดๆจะสามารถรวบรวมและบรรจุองค์ความรู้ไว้ในการเรียนการสอนได้ครบถ้วน นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองจากทุกแห่งทั้งในสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีสารสนเทศ  และการเรียนรู้จะเกิดได้จริงเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ และเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง  นั่นคือผู้เรียนเป็นเจ้าขององค์ความรู้นั้น  ดังนั้นในศตวรรษใหม่ กระบวนการเรียนรู้จึงสำคัญกว่าความรู้ ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21  จึงต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเอง สร้างความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจของตนเอง และมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น (Active learning) รูปแบบการเรียนรู้ที่เกิดจากแนวคิดนี้มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based learning)

 

ความเป็นมาของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

          การเรียนรู้โดยใช้ใช้ปัญหาเป็นหลักมีการพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Faculty of Health Sciences) ของมหาวิทยาลัย McMaster ที่ประเทศแคนาดา  ในปีค.ศ. 1969 โดยโฮเวิรด์ แบร์โรว์ ซึ่งเป็นแพทย์ระบบประสาท มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้รับความรู้แบบบูรณาการ สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้ป่วย  โดย มหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาที่นำรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักมาใช้ในการสอนมีหลายแห่ง แต่ในยุคแรก ๆ ได้นำไปใช้กับหลักสูตรของนักศึกษาแพทย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนต้องใช้ทักษะในการวิเคราะห์ปัญหาทางคลินิกสูงมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่ยังใช้วิธีสอนแบบดั้งเดิมอยู่ยอมรับรูปแบบ การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นหลักในการสอนมากขึ้น จนกระทั่งกลางปี ค.. 1980 การสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักได้ขยายออกไปสู่การสอนในสาขาอื่น ๆ ทุกวงการวิชาชีพ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ นอกจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาแล้ว มหาวิทยาลัยของประเทศแทบทุกส่วนของโลกก็ให้ความสนใจในการนำรูปแบบการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักไปใช้สอนในโรงเรียนแพทย์และโรงเรียนวิชาชีพ (Medical and professional school) ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Maastricht ที่เนเธอร์แลนด์  มหาวิทยาลัย Newcastle  ที่ออสเตรเลีย เป็นต้น (Camp,1996:1;Savin-Baden,2007:8)

สำหรับในประเทศไทยมีการนำหลักการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักมาใช้ครั้งแรกในหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2531  และมีการนำไปประยุกต์ใช้ในสถาบันการศึกษาอื่นๆเช่น  คณะแพทย์ศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2533  และมหาวิทยาลัยขอนแก่นสำหรับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักในการสอนร่วมกับผู้สอนจากมหาวิทยาลัย Stanford และ Vanderbuilt  และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปให้ดำเนินงานในโครงการ Human Development through Problem-Based Learning ซึ่งเป็นโครงการระยะยาว 2 ปี (2548-2550) ให้มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักในรายวิชาต่างๆของมหาวิทยาลัยจำนวน 24 รายวิชา (ไทย ทิพย์สุวรรณกุล,2551:1)

 

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักคืออะไร

          การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก เป็นหลักการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นบริบทของการเรียนรู้ ปัญหาที่เป็นจุดเริ่มต้นนี้ต้องมีความหมายและความสำคัญต่อผู้เรียน รวมทั้งต้องน่าสนใจและกระตุ้นความอยากรู้อยากเรียนเพื่อดึงความสนใจของผู้เรียนให้เข้าสู่การคิดหาวิธีการหรือกระบวนการแก้ปัญหา เกิดความใฝ่รู้ เกิดทักษะ กระบวนการคิดและวิเคราะห์ กระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งผู้เรียนจะได้พัฒนาการเรียนโดยการชี้นำตนเอง การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การประเมินตนเอง การสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูล  และการเรียกข้อมูลมาใช้เมื่อต้องการ (มัณฑรา ธรรมบุศย์,2545:1;ทิศนา แขมมณี,2553:137; Lowenstein& Bradshaw,2001:83)

         

แนวคิดที่สำคัญในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

วิธีการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก เป็นเทคนิคการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในกระบวนการแก้ปัญหา โดยมีกลไกพื้นฐานในการเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem – based learning ) 2) การเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง (Self – directed learning ) และ3) การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย (Small – group learning ) (Rideout,2001:22-24)

           1.การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-based Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักเป็นวิธีการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น ให้ผู้เรียนมีกิจกรรมการเรียนรู้ตามความต้องการของผู้เรียน ดังนั้นในการเรียนแบบนี้ผู้เรียนต้องศึกษาปัญหา ระบุความต้องการที่จะเรียนรู้ แสวงหาความรู้ใหม่ที่ต้องการโดยการศึกษาด้วยตนเอง แล้วนำความรู้นั้นมาใช้ในการแก้ปัญหา

           2.การเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง (Self–directed learning) การเรียนรู้โดยการชี้นำตนเองเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มและเรียนรู้ด้วยตนเองในการระบุความต้องการในการเรียนรู้ สร้างเป้าหมายการเรียนรู้ การเลือกและใช้วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมทั้งการประเมินผลการเรียนรู้

3. การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย (Small–group learning) การเรียนเป็นกลุ่มมาจากแนวคิดการเรียนรู้โดยความร่วมมือของกลุ่มผู้เรียน (Cooperative learning)  ซึ่งเชื่อว่าสมาชิกกลุ่มผู้เรียนจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลถ้าผู้เรียนร่วมมือกันทำงานในกลุ่มเพื่อแสวงหาความรู้โดยสมาชิกกลุ่มจะให้การช่วยเหลือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของกลุ่ม การจัดการเรียนการสอนที่มหาวิทยาลัย McMaster ใช้การเรียนเป็นกลุ่มย่อยประกอบด้วยผู้เรียนประมาณ 8-10 คน

 

หลักการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

          การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักประกอบด้วยหลักการซึ่งส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้คือ 1) กระตุ้นความรู้เดิม (Activation of prior learning)  2) การเสริมความรู้ใหม่ (Encoding specificity) และ 3) การต่อเติมความเข้าใจให้สมบูรณ์ (Elaboration of knowledge) ดังนี้ (วัลลี สัตยาศัย,2547;31; Rideout,2001:22).

1.    กระตุ้นความรู้เดิม (Activation of prior learning)  ความรู้เดิมของผู้เรียนมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้มากเนื่องจากความรู้เดิมจะเป็นฐานของความรู้ใหม่ ผู้สอนจึงควรกระตุ้นความรู้เดิมที่ซ่อนเร้นอยู่ในสมองให้นำมาใช้ให้มากที่สุด สำหรับเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ใหม่

2.    การเสริมความรู้ใหม่ (Encoding specificity) ประสบการณ์ที่จัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความรู้ใหม่มากขึ้น ถ้าประสบการณ์มีความคล้ายคลึงกันระหว่างสิ่งที่เรียนรู้มาและสิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้มากเท่าไรก็ยิ่งจะเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น

3.    การต่อเติมความเข้าใจให้สมบูรณ์ (Elaboration of knowledge) ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้อย่างเข้าใจได้ดีขึ้น จำได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำความรู้นั้นๆออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว  ถ้ามีโอกาสเสริมต่อความเข้าใจข้อมูลต่างๆให้สมบูรณ์มากขึ้นด้วยการถาม-ตอบคำถาม การอภิปรายกับผู้อื่น  การสรุปข้อมูลซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจและจดจำได้ง่าย

 

ทฤษฎีและลักการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก มีทฤษฎีการเรียนรู้และหลักการเรียนรู้ดังนี้

          1.ทฤษฎีการประมวลข้อมูลข่าวสาร (Information Processing Theories)  สมิดท์ (Schmidt,1983 อ้างถึงใน Tootell & McGeorge,1998:19-20)  อธิบายถึงทฤษฎีการประมวลข้อมูลข่าวสารที่ส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก  โดยการกระตุ้นความรู้เดิม (Activation of prior learning)  การเสริมความรู้ใหม่ (Encoding specificity) และการต่อเติมความเข้าใจให้สมบูรณ์ (Elaboration of knowledge) เนื่องจากทฤษฎีนี้ กล่าวถึงกระบวนการในการประมวลข้อมูลข่าวสาร ประกอบด้วยการรับข้อมูลมาและเปลี่ยนรูปโดยการใช้รหัส (Encoding)  การบันทึกข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงเป็นรหัสเรียบร้อยแล้ว (Storage) และการถอดรหัสหรือเรียกคืนข้อมูลมาใช้เมื่อต้องการ (Retrieval)  การเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักให้ความสำคัญที่การเพิ่มความใส่ใจ (Attention) ของผู้เรียน ผู้เรียนจะไม่สามารถประมวลข้อมูลได้ถ้าไม่รู้จัก (Recognition) และเข้าใจหรือรับรู้ (Perceive) ดังนั้นปัญหาที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงจะทำให้ผู้เรียนมีความสนใจ  ซึ่งคลอสไมเออร์  (Klausmeier,1985 อ้างถึงในทิศนา แขมมณี,2553:81) กล่าวถึงทฤษฎีการประมวลข้อมูลข่าวสารว่า   บุคคลจะเลือกรับข้อมูลที่ตนรู้จักและใส่ใจ ซึ่งเป็นความจำในระดับประสาทสัมผัส (Sensory memory) เพื่อถูกเก็บไว้ในความจำระยะสั้น (Short-term memory) ข้อมูลจะได้รับการประมวลและเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส (Encoding) ไปเป็นความจำระยะยาว (Long-term memory) ซึ่งการทำให้ข้อมูล ข่าวสารถูกเก็บไว้ในความจำระยะยาว อาจต้องใช้เทคนิคเช่นการท่องซ้ำหลายๆครั้งหรือ การทำข้อมูลให้มีความหมายกับตนเองโดยการสัมพันธ์สิ่งที่เรียนรู้ใหม่กับสิ่งเก่าที่เคยรู้มาก่อนที่เรียกว่าการขยายต่อเติมความคิด (Elaboration)  ซึ่งหากมีการเก็บบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้วอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถเรียกข้อมูลเหล่านั้นกลับมาใช้ง่าย นอกจากนี้ทฤษฎีได้เสนอแนวคิดว่าการประมวลข้อมูลข่าวสารเป็นรูปแบบการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ (Connectionist model) กล่าวคือความรู้ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในลักษณะการเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์  การบริหารควบคุมการประมวลข้อมูลของสมองคือการที่บุคคลรู้ถึงการคิดของตนและสามารถควบคุมการคิดของตนให้เป็นไปในทางที่ตนต้องการ การรู้ลักษณะนี้ใช้ศัพท์ทางวิชาการว่า “metacognition”หรือ การรู้คิดซึ่งหมายถึงการตระหนักรู้ (Awarness)  ว่าจะทำงานอะไร จะใช้ความรู้หรือกลวิธีใด และจะประยุกต์กลวิธีนั้นอย่างไร   ผู้เรียนจะตระหนักรู้ การรู้คิดของตนเอง ผ่านกระบวนการวางแผน (Planning)  การกำกับติดตาม (Monitoring)  และการประเมินผล (Evaluating)  วูลโฟลก์ (woolfolk,1998 อ้างถึงใน Tootell & McGeorge,1998:19-20)

2.ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตัวเอง (Constructivism theory) มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางปัญญาของเพียเจต์ (Piajet) และ วีก็อทสกี้ (Vygotsky) ซึ่งเป็นนักทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มพุทธนิยม (Cognitivism) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับ “cognition” หรือกระบวนการรู้คิดหรือกระบวนการทางปัญญา ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญาที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง  กระบวนการสร้างความรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น และเกิดการดูดซึม ประสบการณ์ใหม่และปรับโครงสร้างสติปัญญาให้เข้ากับโครงสร้างใหม่  ซึ่งเพียเจต์ อธิบายว่าพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลมีการปรับตัวผ่านกระบวนการซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation) และกระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation)  พัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและซึมซาบหรือดูดซึมเอาประสบการณ์ใหม่เข้าไปสัมพันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางปัญญาเดิมเดิม  หากไม่สัมพันธ์หรือขัดแย้งกับความรู้หรือโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีอยู่เดิมจะเกิดภาวะไม่สมดุล(Disequilibrium)   บุคคลจะพยายามปรับให้อยู่ในภาวะสมดุล (Equilibrium)   โดยการปรับโครงสร้างทางปัญญา   ในกระบวนการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักเมื่อผู้เรียนเผชิญกับปัญหาหรือสิ่งที่ไม่รู้ ทำให้ผู้เรียนเกิดความขัดแย้งทางปัญญาและผลักดันให้ผู้เรียนไปแสวงหาความรู้และนำความรู้ใหม่มาเชื่อมความรู้เดิมเพื่อแก้ปัญหา เป็นความรู้ที่เพิ่มอย่างมีความหมายเนื่องจากผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้นั้นด้วยตนเอง  การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักจึงสะท้อนหลักคิดของทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตัวเอง

          3.ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning) คือการเรียนเป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3-6 คนช่วยกันเรียนเพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่มมีองค์ประกอบที่สำคัญ 5  องค์ประกอบดังนี้

             1) การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน (Positive interdependence)  หมายถึงการพึ่งพากันในทางบวกมี  2 ประเภทคือการพึ่งพาเชิงผลลัพธ์ คือการพึ่งพาในด้านการได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จของกลุ่มร่วมกัน และการพึ่งพาในด้านกระบวนการทำงาน คือการพึ่งพากันในด้านกระบวนการทำงานเพื่อให้งานกลุ่มสามารถบรรลุได้ตามเป้าหมายซึ่งต้องทำให้ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มได้รับรู้ว่าตนเองมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกลุ่ม

             2) การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด (Face to face interaction)  หมายถึงการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ช่วยเหลือกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน การอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด การรับฟังเหตุผลของสมาชิกในกลุ่ม จะทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักการทำงานร่วมกันทางสังคม จากการช่วยเหลือสนับสนุนกัน ส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

             3) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual accountability) หมายถึงความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคน โดยต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ กลุ่มจำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงานทั้งที่เป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม

             4) ใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการทำงานกลุ่ม (Interpersonal and small group skills)  หมายถึงทักษะที่สำคัญที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จ เช่น ทักษะสังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหาความขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับ ไว้วางใจกันและกัน

             5) กระบวนการทำงานกลุ่ม (Group processing) หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ของกลุ่ม โดยผู้เรียนต้องเรียนรู้จากกลุ่มให้มากที่สุด มีความร่วมมือทั้งด้านความคิด การทำงานและความรับผิดชอบร่วมกันจนสามารถบรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้แบบร่วมมือต้องวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นโดยการประเมินเกี่ยวกับวิธีการทำงานของกลุ่ม พฤติกรรมสมาชิกในกลุ่มและผลงานกลุ่ม

                 จะเห็นว่าการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นหลักแนวคิดที่สำคัญคือการเรียนเป็นกลุ่มย่อย (Small–group learning) เป็นการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในกลุ่มผู้เรียน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนมีแนวคิดที่ชัดเจนขึ้น ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ (Develop effective collaboration skill) ผู้เรียนได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ   และเรียนรู้วิธีจัดการกับความขัดแย้งเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน  (Hemelo-Silver,2004:241)

 4.ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรุนเนอร์ (Bruner’s theory of Discovery learning)  แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรุนเนอร์คือการสร้างแรงจูงใจภายใน (Intrinsic-motivation) ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ให้มีความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นพบสิ่งที่อยู่รอบตนเอง (Brunner,1977 อ้างถึงใน(Rideout,2001:25)  มนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง (Discovery learning) ซึ่ง แบร์โรว์ (Barrows ,1985 อ้างถึงใน Tootell & McGeorge,1998:9 ; Rideout,2001:25) มีความเห็นว่าการเรียนรู้จะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้และเรียนจากปัญหา การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ โดยเฉพาะการสอนที่ใช้สถานการณ์จริง (Real-case) ช่วยสร้างแรงจูงใจภายในในการเรียนรู้ เนื่องจากปัญหาสามารถท้าทายให้ผู้เรียนสนใจ ซึ่งวิธีสอนแบบค้นพบมีรากฐานจากปรัชญาพิพัฒนนิยม (Progressivism) มีต้นกำเนิดมาจากปรัชญาแม่บทคือ ปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ซึ่งให้ความสนใจมากต่อการ ปฏิบัติหรือ การลงมือกระทำ ดิวอี้ (Dewey)  ได้นำแนวคิดนี้ไปทดลองและประยุกต์ใช้ในการศึกษา โดยเสนอแนะการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือทำหรือที่เรียกกันเสมอว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนลงมือปฏิบัติ (Learning by doing)

         5. หลักการการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) เป็นหลักการจัดการเรียนรู้โดย โคลป์ (Kolb,1984) ได้เสนอวงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ 1) การเรียนรู้ประสบการณ์รูปธรรม (Concrete Experience-CE) 2)  สังเกต ไตร่ตรองและใคร่ครวญ (Reflection Observation-RO) 3) สรุปเป็นแนวคิดนามธรรม (Abstract Conceptualization-AC) และ 4) ประยุกต์หลักการไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ (Active Experimentation-AE) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักใช้หลักการ การเรียนรู้จากประสบการณ์ คือ เมื่อประสบปัญหา หรือสถานการณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ ต้องไตร่ตรอง สังเกตหาร่องรอยของสาเหตุปัญหา ศึกษาค้นคว้าจนถ่องแท้ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง เป็นอย่างไร ทำความเข้าใจกับเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง จนกระทั่งสามารถสร้างความคิดรวบยอดหรือหลักการเพื่อนำไปใช้ปฏิบัติในสถานการณ์จริง

          6.  หลักการเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง (Self–directed learning) การเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนนำตนเอง สามารถช่วยฝึกฝนให้ผู้เรียนพึ่งพาตนเอง และพัฒนาตนเองได้ การนำตนเองและพึ่งพาตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจภายใน (Develop intrinsic motivation to learn)  ซึ่งสามารถกระตุ้นความต้องการที่จะเรียนรู้และช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย อันจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดี ได้มากและจดจำได้นานขึ้น รวมทั้งนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น (ทองจันทร์ หงศ์ลดารมภ์, ม.ป.ป อ้างถึงในทิศนา แขมมณี ,2553:125) นอกจากนี้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ (Learning style) ที่แตกต่างกันการที่ให้ผู้เรียนนำตนเองและเลือกวิธีการเรียนรู้เองจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดี

                    

จากหลักการสู่ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก


1.ทำความข้าใจกับศัพท์และมโนทัศน์ (Clarify terms and concepts not readily comprehension)  ขั้นตอนแรกผู้เรียนต้องทำความเข้าใจกับคำศัพท์ หรือมโนทัศน์ของโจทย์ปัญหาที่ได้รับ หากมีคำศัพท์ หรือมโนทัศน์ใดที่ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่ตรงกันจะต้องพยายามหาคำอธิบายให้ชัดเจนโดยใช้ความรู้เดิมของสมาชิกกลุ่ม หรือในบางกรณีอาจต้องใช้พจนานุกรมมาอธิบาย

2. ระบุปัญหา (Define the problem)  หลังจากทำความเข้าใจกับคำศัพท์ หรือมโนทัศน์ในขั้นตอนแรกแล้ว  กลุ่มผู้เรียนต้องช่วยกันระบุปัญหาจากโจทย์ปัญหาดังกล่าว โดยสมาชิกกลุ่มจะต้องมีความเข้าใจต่อปัญหาที่ตรงกันหรือสอดคล้องกัน

3. วิเคราะห์ปัญหา (Analyze the problem)  สมาชิกกลุ่มจะระดมสมองช่วยกันวิเคราะห์ปัญหาและหาเหตุผลมาอธิบาย โดยอาศัยความรู้เดิมของสมาชิกในกลุ่ม เป็นการใช้ brain-stroming ในการช่วยกันคิดอย่างมีเหตุผล สรุปรวบรวมความรู้และแนวคิดของสมาชิกเกี่ยวกับขบวนการและกลไกการเกิดปัญหา เพื่อนำไปสู่การสร้างสมมุติฐานต่างๆ (hypothesis) อันสมเหตุสมผลสำหรับใช้แก้ปัญหานั้น

4. การตั้งและจัดลำดับความสำคัญของสมมุติฐาน (Identify the priority of hypotheses Formulate hypotheses) หลังจากวิเคราะห์แล้ว กลุ่มจะช่วยกันตั้งสมมติฐานที่เชื่อมโยงปัญหาดังกล่าวตามที่ได้วิเคราะห์ในขั้นตอนที่ 3 แล้วนำสมมุติฐานดังกล่าวมาจัดเรียงลำดับความสำคัญ โดยอาศัยข้อมูลสนับสนุนจากความจริงและความรู้เดิมของสมาชิกในกลุ่ม เพื่อหาข้อยุติสำหรับสมติฐานที่สามารถปฏิเสธได้ในขั้นต้น และคัดเลือกสมมุติฐานที่สำคัญที่จำเป็นต้องแสวงหาความรู้มาเพิ่มเติมต่อไป

5. สร้างวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ (Formulate learning objective)  ผู้เรียนร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในการแสวงหาข้อมูลที่จำเป็น เพื่อนำมาใช้ในการพิสูจน์หรือล้มล้างสมมติฐานที่ได้คัดเลือกไว้

6. แสวงหาความรู้หรือข้อมูลเพิ่มเติมนอกกลุ่ม (Collect additional information outside the group) สมาชิกแต่ละคนของกลุ่มจะมีหน้าที่ในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

7. สังเคราะห์ข้อมูลและพิสูจน์สมมติฐาน (Synthesize and test newly acquired information) วิเคราะห์ข้อมูลที่หามาได้เพื่อพิสูจน์สมติฐานที่วางไว้  สรุปผลเรียนรู้ที่ได้มาจากการศึกษาปัญหา รวมทั้งแนวทางในการนำความรู้ หลักการไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ทั่วไป

จากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นว่าขั้นที่ 1) เป็นการกระตุ้นความรู้เดิมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อถ่ายโยงความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่และประมวลเป็นความรู้ใหม่ ขั้นที่ 2) การทำความเข้าใจกับปัญหาที่ได้รับเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนจับประเด็นสำคัญ พัฒนาการสรุปและการตั้งคำถามซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของระบบการเรียนรู้ของมนุษย์เพราะความเข้าใจและจดจำข้อมูลใหม่ได้ดีนั้นความรู้เดิมจำเป็นต้องถูกกระตุ้นหรือดึงออกมาโดยปัญหาหรือเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับบริบทของข้อมูลนั้นขั้นที่ 3) เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะการช่วยกันวิเคราะห์ปัญหาและหาเหตุผลมาอธิบายเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน  ช่วยให้ผู้เรียนขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจ ได้มุมมองใหม่ที่แตกต่างจากตน ช่วยให้คิดกว้างและลึกซึ้งขึ้น ขั้นที่ 4) และ 5) เป็นการส่งเสริมการใช้ทักษะการคิดขั้นสูงในการวิเคราะห์จัดกลุ่มความสัมพันธ์ คิดถึงสมมุติฐานความเป็นไปได้ รวมทั้งการประเมินว่าอะไรที่ไม่รู้ ต้องการข้อมูลหรือความรู้ใดมาตอบคำถามหรืออธิบายเพื่อให้ได้คำตอบ ผู้เรียนเกิดการควบคุมการคิดของตนเองให้เป็นไปตามที่ต้องการ (metacognition) โดยเฉพาะการที่ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ยิ่งทำให้การเรียนรู้มีแรงจูงใจภายในที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และขั้นที่ 6) และขั้นที่ 7) ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ศึกษาเป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย เพราะผู้เรียนสามารถอธิบายด้วยภาษาของตนเอง เป็นการสร้างความรู้ใหม่จากความเข้าใจของตนเอง ทำให้ข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ในความจำระยะยาวสามารถเรียกมาใช้ได้ง่ายขึ้น  ไม่เป็นความจำระยะสั้นที่ง่ายต่อการลืม

มีหลักฐานเชิงประจักษ์แสดงว่าผลลัพธ์การจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง (active learners) เรียนรู้อย่างมีความหมาย (meaningful learning) ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเกิดการจัดเก็บข้อมูลไว้ได้ในระยะยาว    (longer retention) (Gallagher&Stepien,1996;Hung Bailey &Jonassen,2003;Norman&Schmidt,1992 อ้างใน Hung,2006:55)

 

การสร้างโจทย์ปัญหา

     โจทย์ปัญหาเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักประสบความสำเร็จ (Duch,2001 อ้างถึงใน Hung,2006:55) เพราะโจทย์ปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเรียนรู้ มีความสำคัญที่จะทำให้การเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่กระตุ้นและผลักดันให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด อภิปราย สร้างประเด็นการเรียนรู้ ศึกษาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง และนำเสนอผลการเรียนรู้  ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการศึกษาหรือมโนทัศน์ที่ต้องการจากการศึกษา ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นการเรียนรู้ของผู้เรียนกับวัตถุประสงค์ในการศึกษาขึ้นอยู่กับการตีความโจทย์

หลักในการสร้างโจทย์ปัญหาให้มีประสิทธิภาพ

1.    ต้องเชื่อมโยงกับพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียน เนื่องจากความรู้เดิมที่เชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ จะมีผลทำให้จดจำความรู้ใหม่ได้นาน

2.    ต้องมีข้อมูลบางส่วนที่ทำให้ความรู้เดิมของผู้เรียนไม่เพียงพอที่จะอธิบายหรือแก้ปัญหาได้ ต้องอาศัยความรู้เพิ่มเติมมาช่วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความรู้ใหม่มาเพิ่มเติม นอกจากความรู้เดิมที่มีอยู่

3.    ควรสร้างให้คล้ายคลึงหรือเชื่อมโยงกับปัญหาจริงในอนาคตที่ผู้เรียนต้องประสบจริงในวิชาชีพ เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่าการเรียนในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับของจริง ผู้เรียนจะสนใจ สามารถจดจำ นำความรู้มาใช้และมีโอกาสที่จะแก้ปัญหาได้ดี (Tootell & McGeorge,1998:19)

4.    ควรเป็นปัญหาที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ความสนใจในโจทย์ปัญหาจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเองและความสามารถในการเรียนรู้

5.    ต้องนำไปสู่การเรียนรู้ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนกำหนดไว้

 

บทบาทผู้สอน

          บทบาทของผู้สอนในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักได้แก่บทบาทในการกระตุ้นและสนับสนุนการเรียนรู้ (Facilitator) ดังนี้ (วัลลี สัตยาศัย,2547:51-54)

1.    ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิด (metacognitive skill) หรือที่ ศ.นพ. พรจันทร์ หงศ์ลดารมภ์ ได้ใช้คำในภาษาไทยว่า โยนิโสมนสิการ ซึ่งมีความหมายว่า 1) การคิด ใคร่ครวญ และตรึกตรองอย่างแยบคายในการแก้ปัญหา 2) ความสามารถในการทบทวนความรู้เดิมและประสบการณ์เดิมนำมาใช้ในการแก้ปัญหา 3) ความสามารถในการสร้างสมมุติฐานและตัดสินใจว่า ควรสังเกต ไต่ถาม ค้นคว้าเพิ่มเติมในสิ่งใด 4) เมื่อได้ข้อมูลใหม่ ใหม่มาแล้ว ต้องรู้จักพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงคิดถึงแหล่งข้อมูลอื่นที่อาจมีประโยชน์ ตลอดจนสามารถทบทวนความรู้ใหม่ที่ได้มา และเรียนรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป กล่าวคือคือต้องไม่ให้ข้อมูลหรือถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ต้องใช้คำถามที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดและตรึกตรองอย่างแยบคาย

2.    จัดกระบวนการเรียนรู้ให้ดำเนินไป โดยให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนของการเรียนรู้แต่ละขั้นโดยไม่เรียนลัด และทุกขั้นตอนต้องดำเนินไปตามลำดับที่ถูกต้อง

3.    ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง และพยายามดึงความรู้หรือความคิดที่ฝังอยู่ออกมาให้ได้ ผู้สอนต้องพยายามให้ผู้เรียนอธิบายถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการอภิปราย  นอกจากนี้การใช้คำศัพท์บางคำ ต้องให้ผู้เรียนนิยามคำศัพท์นั้นๆ เพื่อที่จะให้แน่ใจว่ารู้และเข้าใจคำต่างๆอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีการเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง

4.    ช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการกลุ่ม โดยส่งเสริมให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันโดยผู้สอนไม่ทำตัวเป็นศูนย์กลางการอภิปราย

5.    ดูแลความก้าวหน้าการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกคนในกลุ่ม โดยให้คิดและรู้จักตนเองว่ากำลังเรียนอยู่ในระดับใด ยอมรับจุดอ่อนของตนเองเพื่อแก้ไข ในการเรียนเป็นกลุ่มย่อยผู้สอนจะสังเกตผู้เรียนที่มีปัญหาทางการเรียนได้ง่ายและรวดเร็ว เช่นไม่สามารถใช้เหตุผลมาอธิบายให้เพื่อนเข้าใจได้ หรือไม่สามารถค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองได้ ผู้สอนต้องพยายามแก้ไขโดยพยายามดึงให้เพื่อนช่วยกันเองเป็นส่วนใหญ่

 

บทบาทผู้เรียน

          บทบาทผู้เรียนจะเปลี่ยนจากการเป็นผู้รับฟังความรู้ (Passive learning) เป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Active learning) บทบาทผู้เรียนในการเรียนวิธีนี้คือการพัฒนาทักษะกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักและทักษะการเรียนโดยการชี้นำตนเองตามกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว ทักษะการทำงานเป็นทีม การให้ข้อมูลป้อนกลับ สะท้อนความรู้สึกนึกคิดในประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาเพื่อนและตนเอง

 

มุมมองเชิงวิพากษ์การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก

          ถึงแม้การเรียนการสอนแบบเดิมอาจจะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนสบายใจว่าได้สอนและเรียนองค์ความรู้  ซึ่งท้ายสุดอาจเหลืออยู่กับผู้เรียนเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว  การจัดการเรียนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักซึ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าความรู้  เป็นการเรียนการสอนที่ปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้เรียนและผู้สอน เนื่องจากแนวคิดและกระบวนการจัดการเรียนการสอนต่างจากการสอนแบบเดิมโดยสิ้นเชิง   ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะเปลี่ยนวิธีการสอนแบบเดิมแต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งผู้สอนและผู้เรียน   หัวใจสำคัญของการจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสำเร็จจึงเกิดจากความเชื่อ (Belief)  เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนว่ากระบวนการเรียนรู้จากการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักจะช่วยแก้ปัญหาที่ระบบการศึกษาไทยเผชิญอยู่เช่นการขาดทักษะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ของผู้เรียนและพฤติกรรมการเรียนที่ผู้เรียนเป็นผู้รับความรู้ (passive learners)  เพราะกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเองจนสามารถเรียนรู้ได้เองตลอดชีวิต (Lifelong Learner) นอกจากนี้การเรียนช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้มีวัฒนธรรมความร่วมมือในการเรียนรู้ (Cooparative learning)  โดยสมาชิกกลุ่มจะให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของกลุ่ม ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะทางสังคม และความแข็งแกร่งทางอารมณ์ เพราะมีโอกาสที่จะเผชิญกับความรู้สึกขัดแย้งและความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน  ดังที่ บอนด์ (Bound ,1986 อ้างถึงใน Savin-Baden and Major,2004:6) กล่าวว่าการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักส่งเสริมให้ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่พึ่งพาผู้สอนเป็นแหล่งข้อมูลหลัก นำความรู้เดิมมาใช้ เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์ เน้นการทำงานร่วมกัน และบูรณาการหลากหลายสาขาวิชา

แม้ว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักมีข้อดีที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนหลายด้าน แต่ก็พบปัญหาและอุปสรรคที่ผู้สอนและผู้เรียนต้องก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านผู้สอน ที่มีจำนวนไม่เพียงพอ ผู้สอนมีภาระงานเพิ่มขึ้น ผู้สอนส่วนหนึ่งไม่เข้าใจวิธีการเรียนการสอนและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในบทบาทจากผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียน มีความเป็นห่วงในเนื้อหาวิชาว่าการที่ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจะมีความรู้ ไม่ลึกซึ้งเหมือนที่ตนจะสามารถอธิบายให้ฟังได้   ส่วนผู้เรียนไม่ชอบวิธีเรียนที่ต้องพึ่งตนเองและใช้เวลาในการเรียนมาก  รู้สึกได้รับเนื้อหาทฤษฎีน้อยและเครียด ผู้สอนหลายท่านจึงอดที่จะบรรยายเพิ่มเติมหลังจากนักศึกษาอภิปรายกันแล้วไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวคิดที่จะปลูกฝังให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองและและจัดเก็บข้อมูลไว้ในความจำระยะยาว และเป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิตจะล้มเหลว  เนื่องจากผู้เรียนรู้ว่าถึงตนเองไม่ค้นคว้ามาก่อน ผู้สอนก็จะบรรยายหรือสรุปให้ฟังท้ายชั่วโมง หัวใจสำคัญของการจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสำเร็จจึงเกิดจากการพัฒนาทัศนคติเชิงบวกทั้งของผู้สอนและผู้เรียน  การปลูกฝังวิธีเรียนรู้และทัศนคติที่ดีต่อการแสวงหาความรู้  การกระทำของผู้สอนทุกอย่างจะสะท้อนให้ผู้เรียนชอบหรือไม่ชอบต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน ความปรารถนาดีและความจริงใจ ชี้แนะแนวทางประคับประคองให้ผู้เรียน มีความรู้สึกดีต่อการได้มีโอกาสเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง

 

บทสรุป

การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักถึงแม้จะมีรากฐานมาจากกาเรียนการสอนในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพแต่ปัจจุบันได้ขยายไปสู่การเรียนในระดับพื้นฐาน  การเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลักเป็นการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญวิธีหนึ่ง ซึ่งช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้  เนื่องจากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าความรู้  ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง พัฒนาทักษะการใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจโดยมี ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกอยากรู้และต้องการแสวงหาความรู้มาแก้ปัญหา การที่ผู้เรียนต้องหาความรู้อย่างต่อเนื่องทำให้การทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-long learning) เพราะความรู้เก่าที่ผู้เรียนมีอยู่แล้วจะถูกนำมาเชื่อมโยงให้เข้ากับความรู้ใหม่ตลอดเวลา  การเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นกระบวนการที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนสามารถอยู่ในสังคมโลกที่ซับซ้อนได้อย่างกลมกลืน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2545 และการการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น