การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
สุรางค์ เปรื่องเดช
วิชามโนมติ
ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาลเป็นวิชาในหมวดวิชาเฉพาะ และเป็นวิชาแรกในกลุ่มวิชาชีพ จึงมีรหัสวิชา
พย.1201 จำนวน 2 หน่วยกิต [(2-0-4)] วิชานี้เป็นวิชาที่ว่าด้วยแนวคิดเกี่ยวกับภาวะสุขภาพกับความเจ็บป่วย สิทธิผู้ป่วย การพยาบาล
การดูแลแบบองค์รวม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพขั้นพื้นฐาน ทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล
ทฤษฎีทางการพยาบาล กระบวนการพยาบาล และการนำไปใช้
โดยยึดหลักจริยธรรมและสิทธิมนุษยชน
ดังนั้นจุดมุ่งหมายของรายวิชา เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ แนวคิดเกี่ยวกับภาวะสุขภาพกับความเจ็บป่วย สิทธิผู้ป่วย
การพยาบาล การดูแลแบบองค์รวม
จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพขั้นพื้นฐาน
ทฤษฎีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ
การพยาบาล ทฤษฎีทางการพยาบาล กระบวนการพยาบาล และการนำไปใช้
โดยยึดหลักจริยธรรม และหลักสิทธิมนุษยชน วิชานี้จึงประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 บท คือ บทที่ 1 แนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ การพยาบาล บทที่ 2 กระบวนการพยาบาล และ บทที่ 3 แนวคิด ทฤษฎีทางการพยาบาล และการนำไปใช้ จะเห็นว่าวิชานี้เป็นวิชาที่นักศึกษาชั้นปีที่ 2
ต้องเรียนรู้เพื่อการเตรียมก้าวสู่วิชาชีพการพยาบาล
สาระเรื่องกระบวนการพยาบาลเป็นสาระที่สำคัญเพราะเป็นแก่นของวิชาชีพการพยาบาลอย่างหนึ่งกล่าวคือกระบวนการพยาบาลเครื่องมือสำคัญของพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาล
โดยเมื่อพยาบาลใช้กระบวนการพยาบาลทำให้เข้าถึงผู้รับบริการ ทราบข้อมูล
วิเคราะห์ กำหนดปัญหา/ ความต้องการ
วางแผนและให้การพยาบาลครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ตรงปัญหาและความต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับประกาศของสภาการพยาบาลมาตรฐานที่
1 ว่าด้วย
“การใช้กระบวนการพยาบาลใน การปฏิบัติพยาบาลและการผดุงครรภ์
ต้องมีการใช้กระบวนการพยาบาลและบันทึกรายงานการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยทุกรายโดยพยาบาลวิชาชีพ” นอกจากนั้นประกาศของสภาการพยาบาลมาตรฐานที่ 5
ยังให้มีการบันทึกและการรายงานผลการปฏิบัติพยาบาลและการผดุงครรภ์ที่สามารถสะท้อนคุณภาพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
รวมทั้งต้องมีระบบการตรวจสอบคุณภาพและความสมบูรณ์ของการบันทึกทาง การพยาบาลเพื่อการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามการนำกระบวนการพยาบาลไปใช้
ผู้ใช้จะต้องใช้บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดและทฤษฎีทางการพยาบาล
เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพของอย่างมีคุณภาพ
สืบเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นทั้งผู้รับผิดชอบวิชาและเป็นผู้สอนสาระเรื่องกระบวนการพยาบาล พบว่า
จากผลการทดสอบหลังการสอน
(Quiz) แบบบรรยายเรื่อง กระบวนการพยาบาล 2
ครั้ง คือ การทดสอบหลังการสอนครั้งที่
1 หลังสอนเรื่องความหมาย ความสำคัญของกระบวนการพยาบาล และความหมาย
ความสำคัญของแต่ละขั้นตอนที่ 1 และ 2 มีนักศึกษาสอบผ่าน 11 คน ส่วนการทดสอบหลังการสอนครั้งที่ 2 ขั้นตอนที่ 3 – 5 พบว่านักศึกษาสอบผ่านแค่ 3 คน และเมื่อรวมทั้ง
2 ครั้ง พบว่านักศึกษาจำนวน 118 คนสอบไม่ผ่านคิดเป็นร้อยละ 100 สะท้อนถึงการขาดความเข้าใจในเนื้อหาสาระเรื่องกระบวนการพยาบาล ผู้สอนจึงนำแบบทดสอบหลังการสอน ทั้ง 2 ชุดมารวมเป็นข้อคำถาม 1 ชุด ซึ่งเป็นคำถามที่นำไปสู่คำตอบที่แสดงถึงการเรียนรู้สาระสำคัญเรื่องกระบวนการพยาบาลทั้ง 5
ขั้นตอน โดยใช้กิจกรรมการสอนเสริมที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นรายกลุ่ม กิจกรรมการสอนเสริมมีดังนี้
:
1. แบ่งนักศึกษาจำนวน
118 คน ออกเป็น 4 กลุ่มๆละ 28 – 32
คนและให้นักศึกษาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบวิชาเป็นผู้กำหนดวันสอนเสริม ได้ผลสรุป 4 วันๆละ 3 ชั่วโมง คือวันที่ 15 , 16 , 29 และ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 09.00น. – 12 .00 น.
2. ในวันสอนเสริมแบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มย่อย
5 กลุ่มๆละ 5 – 7 คน
3. นักศึกษาแต่ละกลุ่มทำแบบทดสอบ ซึ่งเป็นข้อคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับสาระเรื่องกระบวนการพยาบาล ให้ร่วมกันสืบค้นหาคำตอบจากตำราที่ผู้สอนให้รายชื่อไปเตรียมล่วงหน้าก่อนเข้ากลุ่ม ให้ตอบคำถามทีละข้อไปพร้อมๆกัน พร้อมกับอ้างอิงตำราอย่างถูกต้องโดยผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีเขียนการอ้างอิงที่ถูกต้อง
4. เมื่อนักศึกษาทำแบบทดสอบเสร็จให้ส่งคำตอบพร้อมรายงานการอ้างอิง จากนั้นให้สถานการณ์และให้นักศึกษาวางแผนให้การพยาบาลผู้ป่วยตามสถานการณ์เป็นรายกลุ่มและกำหนดเวลาส่ง
5. ให้นักศึกษาทุกคนเขียน
Journal Writing ในประเด็น ความรู้ ทักษะ และ
ความรู้สึกต่อกิจกรรมการเรียนการสอนเสริมครั้งนี้ส่งทุกคน
6. ให้นักศึกษาทุกคนทำแบบทดสอบ อีกครั้ง โดยมีการปรับข้อคำถามเป็นบางข้อและอนุญาตให้นักศึกษาทุกคนนำตำราเข้ามาในห้องได้
สรุปผลการจัดกิจกรรมการสอนเสริม
1. ผลสรุปจาก Journal Writing ในประเด็นต่างๆมีดังนี้
1.1 ด้านการเรียนรู้ นักศึกษาได้เขียนประเด็นต่างๆดังนี้
“ได้ความรู้เรื่อง กระบวนการพยาบาลเพิ่มมากขึ้น” “เคยเรียนในห้องมาแล้ว ทำให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น” “เราไม่ได้ใช้วิธีการแยกกันหา แต่เราช่วยกันหาคำตอบของข้อคำถามทำให้เราเกิดความร่วมมือกันค้นหาคำตอบ แล้วนำมาพูดคุย ซักถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ ให้เพื่อนในกลุ่มอธิบายให้ฟังทำให้เข้าใจง่ายกว่าไปนั่งอ่านหนังสือคนเดียว และในระหว่างที่ทำแบบฝึกหัดอาจารย์คอยเดินดูและให้นักศึกษาถามข้อสงสัย”
1.2 ด้านการวิเคราะห์ นักศึกษาได้เขียนประเด็นต่างๆดังนี้
“สมาชิกทุกคนต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากขึ้น จึงเกิดความเข้าใจในเรื่องที่อาจารย์ให้ศึกษา”
“การเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรมที่ถูกต้อง” “
รู้จักหนังสือในห้องสมุดมากขึ้น”
“เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ”
“การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ตาม
SAPe” “”
1.๓ ด้านทักษะ นักศึกษาได้เขียนประเด็นต่างๆดังนี้
“ได้ฝึกทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง
ฝึกทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง” “การจับประเด็นจากเอกสารคำสอนเชื่อมโยงไปหารายละเอียดในตำราได้มากขึ้น” “ฝึกทักษะการอ่านและสรุปความ” “การเขียนอ้างอิงได้เข้าใจขึ้น”
“การคิด/วิเคราะห์” “การทำงานกลุ่ม” “ฝึกนิสัยการอ่านเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุดจากการอ่านหนังสือหลายๆเล่ม” “การศึกษาแบบเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย...ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน”
“ทักษะการอ่านอย่างไรให้เข้าใจ” “การวิเคราะห์คำถาม” “การฟังอย่างตั้งใจ เกิดการเป็นผู้ฟังที่ดี
รับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่น” “เกิดทักษะการสื่อสารจากการพูด อธิบายและการอภิปรายร่วมกันภายในกลุ่ม” “การคิดวิเคราะห์/การไตร่ตรอง
การตัดสินใจและต้องเลือกข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้” “เปรียบเทียบการทำงานเป็นกลุ่ม
เดิม : แบ่งหน้าที่กันทำส่วนของใครของมัน
แต่วันนี้ ได้ร่วมมือกันทำ ช่วยกันทำไปพร้อมๆกัน ไม่ต้องหนักคนใดคนหนึ่งอย่างที่เคยเป็นมา”
และที่สำคัญคือการตอบปัญหาที่ละข้อทำให้นักศึกษาแต่ละคนในกลุ่มได้มีโอกาสทบทวนคำตอบในแต่ละข้อ
เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแล้วค่อยเริ่มตอบข้อต่อไปพร้อมกัน การเรียนรู้แบบนี้ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้ และความรู้ที่ได้จากทักษะต่างๆที่ใช้ สามารถนำไปใช้ในในชีวิตประจำวันได้
1.4 ด้านความรู้สึก นักศึกษาได้เขียนประเด็นต่างๆดังนี้
ตอนแรกๆรู้สึกกดดันที่ต้องมาเรียนเสริม
รู้สึกว่าเป็นผลดีต่อตัวเองเป็นอย่างมาก
การเรียนแบบกลุ่มทำให้มีความช่วยเหลือกัน อธิบายให้กันฟัง เรียนรู้ร่วมกัน
เพิ่มเติมความรู้ในสิ่งที่ขาดหายไปจากการเรียนในห้อง
ทำให้รู้สึกเห็นคุณค่าของเอกสารประกอบการเรียน
(ที่อาจารย์แจกแก่นักศึกษา) เพิ่มขึ้น
เพื่อนๆทุกคนช่วยกันทำงานที่อาจารย์มอบหมายสำเร็จ
ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ
ภูมิใจและประทับใจมาก ดีใจที่ได้เรียน สนุกสนานและประทับใจมาก
เรียนเป็นกลุ่มย่อยนักศึกษารู้สึกสนุกกับการหาคำตอบ
รู้สึกกระตือรือร้น
เกิดการจดจำข้อมูลความรู้นั้นมากขึ้น จดจำเนื้อหาได้
ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการพยาบาลและการนำไปใช้อย่างมาก
ได้เรียนรู้อย่างทั่วถึง ได้รู้ได้สัมผัสเนื้อหามากขึ้น
รู้สึกชอบ เข้าใจ
สนุก และเป็นประโยชน์
เรียนแล้วสนุก มีความสุขที่ได้เรียน
เรียนสนุก สบาย เป็นกันเอง ไม่เครียด
ทำให้รู้สึกดีกับการเรียนแบบกลุ่มย่อย
อาจารย์จะคอยบอกเสมอว่า “ให้การทำงานไปพร้อมๆกัน ทำทุกคน ทำเป็นกลุ่ม อย่ารีบทำไปก่อน เดี๋ยวเพื่อนตามไม่ทัน” ซึ่งการเรียนครั้งนี้ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจในกระบวนการพยาบาลมากขึ้น สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการเรียนวิชาต่อๆไปได้ดีกว่าเดิม
เป็นการเรียนการสอนที่เข้าถึงนักศึกษาทำให้เข้าใจมากขึ้น และตื่นตัวตลอดเวลา รู้สึกชอบการเรียนในลักษณะนี้
เกิดความสามัคคีกันในกลุ่มในการช่วยกันทำงานให้สำเร็จไปได้ด้วยดี
ตระหนักถึงความสำคัญของของการอ่านหนังสือ.....เราต้องอ่านให้เข้าใจก่อน
สรุปให้ได้
แล้วเราก็จะตอบคำถามได้อย่างตรงจุด
กล้าถามอาจารย์มากขึ้นในส่วนที่ไม่เข้าใจ
กล้าแสดงความคิดเห็น
ถูกกระตุ้นให้คิด
การสืบค้นจากหนังสือหลายๆเล่มมาประกอบกันทำให้เข้าใจเนื้อหามากกว่าการจำมาตอบ
ชอบที่มีการเรียนการสอนเป็นกลุ่มระดมความคิดร่วมกัน
ได้แนวทางในการศึกษาค้นคว้า/เพิ่มเติม
เป็นการเรียนการสอนที่ดีมากเพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการคิด
ค้นหาคำตอบ สามารถเข้าถึงอาจารย์ได้มากขึ้น สามารถสอบถามข้อสงสัยจากอาจารย์ได้
การเรียนแบบนี้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ
ทำให้ไม่หลับ ไม่น่าเบื่อ และมีความกระตือรือร้นตลอดเวลา และจดจำได้ดี
นักศึกษามีกำลังใจมากขึ้นในการค้นตำราทางการพยาบาล
มีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าต่อไปจะสามารถทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักศึกษาทุกคนจะนำความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลต่อไปในอนาคต
2. ผลจากการตรวจแบบทดสอบรายกลุ่ม พบว่านักศึกษาทุกกลุ่มสามารตอบแบบทดสอบได้ถูกต้อง สะท้อนถึงแต่ละคนในแต่ละกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจกระบวนการพยาบาล
จึงสามารสรุปว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในสาระสำคัญของกระบวนการพยาบาล
สรุปและข้อเสนอแนะ
จากผลการตรวจแบบทดสอบรายกลุ่มและผลสรุปจาก
Journal Writing ในด้านความรู้ความเข้าใจสาระสำคัญของกระบวนการพยาบาลสะท้อนว่านักศึกษามีความรู้ความเข้าใจสาระสำคัญเรื่องกระบวนการพยาบาลจากการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นรายกลุ่ม นอกจากนั้นนักศึกษายังได้ 1) เรียนรู้การทำงานเป็นทีม การเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรมที่ถูกต้องอันจะเป็นฐานในการอ้างอิงในวิชาอื่นๆต่อไปในอนาคต 2) เกิดทักษะการค้นคว้าด้วยตนเอง การอ่านและสรุปความ การฟังอย่างตั้งใจ ทักษะการสื่อสารจากการพูด
อธิบายและการอภิปรายร่วมกัน การคิดวิเคราะห์/การไตร่ตรอง
การตัดสินใจและต้องเลือกข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้ การเรียนรู้แบบนี้ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการเรียนวิชาอื่นได้ และความรู้ที่ได้จากทักษะต่างๆที่ใช้ สามารถนำไปใช้ในในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสอดคล้องกับคุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งที่ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน 3) ด้านความรู้สึก ผู้เรียนรู้สึกสนุก มีความสุขกับการเรียน กระตือรือร้น
กล้าถามในส่วนที่ยังไม่เข้าใจและ กล้าแสดงความคิดเห็น จดจำข้อมูลความรู้ได้มากขึ้น ที่สำคัญคือนักศึกษาเขียนว่า “นักศึกษาทุกคนจะนำความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพการพยาบาลต่อไปในอนาคต”
ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนว่านักศึกษารุ่นนี้น่าจะนำความรู้เรื่องและทักษะต่างๆที่เกิดจากการเรียนรู้ครั้งนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และในที่สุดนี้จากการสรุปนี้สามารยืนยันได้ว่า
การออกแบบการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการพัฒนานิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนซึ่งเป็นลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง
ที่สร้างศักยภาพในการนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นคุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นคุณลักษณะที่สำคัญต่อผู้เรียน
ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดแก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆอย่างต่อเนื่องและมีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษาตลอดชีวิต
เพื่อทำให้ชีวิตของผู้เรียนมีความหมาย มีชีวิตชีวา
ตลอดจนสำเร็จการศึกษา รับผิดชอบงาน รับผิดชอบชีวิตของตนเอง สามารถปรับตัวเองให้ทันสมัย ทันยุค ทันเหตุการณ์ ทันโลกและทันต่อความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมการเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข
....................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น