ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการทรงงาน: ทรรศนะด้านมนุษย์ศาสตร์
สุดา เดชพิทักษ์ศิริกุล
บทนำ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแสดงสถานภาพที่สำคัญ
2 ประการด้วยกันคือ “การเป็นแนวทางในการพัฒนา” และ “การเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิต” หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นแนวคิดที่เสนอ “ทฤษฎีทางเลือกของการพัฒนา” (Alternative Theory of Development) โดยมีข้อมูลสนับสนุนความคิดจากการศึกษาหลักการทรงงานและแนวพระราชดำริในการดำเนินโครงการต่างๆ
อาทิศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยทราย โครงการชั่งหัวมันฯ ประมวลได้ว่าพระราชดำรัสประกอบไปด้วยถ้อยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและปรัชญาการดำเนินชีวิตได้แก่
การมีส่วนร่วม ให้ความสำคัญกับองค์รวม ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ
ภูมิสังคม แก้ปัญหาที่จุดเล็ก ระเบิดจากข้างใน ความเพียร เสียสละเพื่อส่วนรวม อ่อนน้อมถ่อมตนและความสามัคคี
รวมถึงพัฒนาสู่ความยั่งยืน เป็นต้น และจุดเริ่มต้นของแนวคิดการพึ่งพาตนเอง เป็นผลมาจากลักษณะสภาพของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงทั้งเชิงโครงสร้าง
สังคม และเศรษฐกิจตามการพัฒนาสังคมกระแสหลักอันเป็นสังคมทวิลักษณ์ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวคิดทวิภาค
(dualism) โครงสร้างทางสังคมของสังคมไทย มีลักษณะผสมระหว่างสังคมเกษตรแบบเลี้ยงตนเอง
(tradition) และสังคมอุตสาหกรรม (modern) ลักษณะสังคมเกษตรแบบเลี้ยงตนเอง คือผลิตด้วยแรงงาน ใช้ทุนน้อยและจ่ายค่าจ้างด้วยสิ่งของ
ส่วนลักษณะสังคมอุตสาหกรรมซึ่งมีการเจริญเติบโตรวดเร็วใช้ทุนสูง และจ้างแรงงานด้วยแรงงานค่าจ้าง
ในสมัยหนึ่งมีการให้ความสำคัญกับประเทศที่พัฒนาแล้วโดยสร้างอัตลักษณ์ผ่านคำว่า
“เสือ” เพื่อสื่อถึง พลังอำนาจ สิทธิเสรีภาพ
แนวทางการพัฒนาประเทศไทยจึงมีเป้าหมายที่จะเติบโตและทำตามแบบอย่างประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น
“เสือ” แต่ขาดหลักวิชาที่เป็นของตนเอง ละเลยความรู้ท้องถิ่น ไม่เริ่มจากจุดเล็กๆ
ไม่คำนึงถึงการสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็ง
คือการมีกินมีใช้และผลิตพอที่จะใช้พอเพียงกับตัวเองก่อนแล้วค่อยก่อร่างสร้างตัว
ขาดความรอบคอบและความสมดุล และกระทบที่ปรากฏในสังคมไทยปัจจุบันคือเกิดความแตกต่างทางรายได้และทรัพย์สิน
เกิดภาวะความยากจน คุณภาพชีวิตลดลงรวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ถูกทำลาย ดังกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ปลุกจิตสำนึกคนไทย ที่ว่า
...พระเจ้าอยู่หัวยังต้องเหนื่อยต้องลำบากทุกวันนี้ เพราะว่าประชาชนยังยากจนอยู่
เมื่อประชาชนยากจนแล้ว อิสรภาพ เสรีภาพ
เขาจึงไม่มี
และเมื่อเขาไม่มีอิสรภาพเขาก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้...
...การเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกินและมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน...
ถ้าเราทำแบบที่ไหนทำได้ แบบเศรษฐกิจพอเพียงกับตัวเอง เราก็อยู่ได้ไม่ต้องเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้...
...การแก้ไขวิกฤติการณ์......มันต้องถอยหลังเข้าคลอง จะต้องอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วต้องกลับไปทำกิจการที่อาจจะไม่ซับซ้อนนัก.....มีความจำเป็นที่จะถอยหลังเพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไป...
องค์ความรู้และแนวคิดของหลักการทรงงาน
จากการศึกษาโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริ
ได้แก่ โครงการศูนย์ศึกษาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ห้วยทราย โครงการชั่งหัวมันซึ่งเป็นแหล่งศึกษาและพัฒนาพืชเศรษฐกิจพันธุ์ท้องถิ่น
โครงการส่งเสริมความรู้ด้านวิธีการหรือเทคนิคการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลในพื้นที่เกษตรกรรมขนาดเล็กที่เรียกว่า“เกษตรทฤษฎีใหม่”
หรือเกษตรทางเลือกรวมทั้งโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริอื่นๆอีก3,000 โครงการแสดงให้เห็นว่าเป้าหมาย ที่สำคัญของการทรงงาน
คือการบำบัดทุกข์และบำรุงสุขแก่ประชาชน ซึ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
โดยเฉพาะประชาชนที่เป็นเกษตรกรและยากจน ดังกรอบแห่งแนวคิดที่ว่า “ช่วยเขาให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้” (Help him to help
himself) หรือหลักการพึ่งตนเองเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับหลักการทรงงานที่ว่า “ระเบิดจากข้างใน” หมายถึงการรู้จักตนเอง
พัฒนาที่ตนเอง ด้วยตนเองเป็นจุดเริ่มต้น การที่จะพึ่งตนเองได้จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไปด้วยพลังจากในตน
สู่ชุมชน โดยค่อยๆ สั่งสมความรู้ ทุนและความสามารถด้านต่างๆ ไม่ก้าวกระโดดจนเกินภูมิปัญญาของตน หรือใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง
หรือพึ่งพิงเทคโนโลยีเกินความจำเป็น แต่สามารถผลิตอาหาร มีที่อยู่อาศัย เพียงพอแก่การดำรงชีพในสภาพที่ยืนอยู่บนขาของตนเองได้
การดำเนินการดังกล่าวต้องเข้าใจภูมิสังคม คือ นิสัยใจคอ วิถีชีวิตชุมชนและสภาพธรรมชาติเป็นอย่างดีดังพระราชกระแสว่า..
...การเข้าใจถึงสถานการณ์ของผู้ที่เราจะช่วยเหลือนั้นสำคัญที่สุดการช่วยเหลือให้เขาได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับตามความจำเป็นอย่างเหมาะสม
จะเป็นการช่วยเหลือที่ได้ผลดีที่สุด
เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือแต่ละครั้งแต่ละกรณีจำเป็นที่เราจะต้องพิจารณาถึงความต้องการและความจำเป็นก่อน
และต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่เราช่วยให้เข้าใจด้วยว่า เขาอยู่ในฐานะอย่างไร สมควรที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร เพียงใด
คือการช่วยเหลือนั้น ควรยึดหลักสำคัญว่า
เราช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป...
แนวคิดที่ว่า “ช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้”จึงนำไปสู่หลักการที่เรียกว่า“ระเบิดจากข้างใน”
ดังกล่าว เป็นการให้ความหมายกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ในประเด็นของอิสรภาพและเสรีภาพโดยแท้ จึงอาจกล่าวได้ว่าหลักการทรงงานของพระองค์ท่านมีพื้นฐานแนวคิดมนุษย์นิยม
โดยเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพ มีความสามารถ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีงาม สมควรที่จะส่งเสริมให้เกิดความงอกงามอย่างเต็มที่เพื่อใช้ศักยภาพแห่งตนมาพัฒนาการดำเนินชีวิตต่อไป คำว่าอิสรภาพแห่งจิตใจเกิดจากการที่บุคคลสามารถพึ่งตนเองได้
บนความเรียบง่าย พอดี
มีเหตุผลมีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติเกื้อกูลกันโดยไม่ก้าวก่ายหรือเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
จิตใจจึงหลุดพ้นจากความกลัวความทุกข์ยากและความไม่มั่นคงของชีวิต
ปรัชญามนุษย์ศาสตร์ มีรากฐานจากคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ
ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสอดคล้องกับมนุษย์นิยม ดังนั้นหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพุทธธรรมเป็นรากแก้วที่หยั่งรากลึกในทุกบริบทของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และเป็นปัจจัยเงื่อนไขแห่งความสำเร็จของการพัฒนาความสมานฉันท์และเอื้ออาทรในสังคมไทย
จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยพึงให้ความตระหนักที่จะร่วมมือกันสืบสานงานตามพระราชดำริให้เกิดความบริบูรณ์
อันจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของตนและความยั่งยืนสถาพรของชาติไทย
แนวคิดการทรงงานให้ความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์
เน้นความอยู่ดีมีสุขมากกว่าความร่ำรวย โดยมีเรื่องความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ
คำนึงถึงความมั่นคงของมนุษย์และการส่งเสริมให้บุคคลสามารถที่จะพัฒนาได้เต็มที่ตามศักยภาพของตน
อีกทั้งมีความโดดเด่นเรื่องการพัฒนาด้านพื้นฐานจิตใจและคุณธรรมของมนุษย์บนพื้นฐานคำสอนในพระพุทธศาสนา
วิเคราะห์หลักการทรงงาน: ทรรศนะด้านมนุษย์ศาสตร์
มนุษยศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ
มิติของมนุษย์ที่ให้ความสนใจกับลักษณะความเป็นปัจเจกของมนุษย์เป็นสำคัญ มีคุณค่าสำคัญอยู่ที่การกระตุ้นให้สังคมได้ย้อนพินิจถึงคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์และเรียนรู้ที่จะประเมินประสบการณ์ด้านสังคม
อารมณ์ จริยธรรม-คุณธรรม ศิลปะ และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มนุษย์ศาสตร์จึงมีบทบาทต่อการพัฒนาความคิด
จิตวิญญาณของมนุษย์และปลูกฝังความเป็นมนุษย์ที่ดี ดังที่
พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต), 2542 กล่าวว่า
...ตอนนี้ในการพัฒนาของวงวิชาการได้มีความเปลี่ยนแปลงใหม่
ความเชื่อถือความหวัง ในคุณค่าของวิทยาศาสตร์ได้เสื่อมหรืออ่อนกำลังลง ฉะนั้นมนุษย์ศาสตร์นี้แหละก็ควรจะมีความสำคัญมากขึ้น
...คนได้เห็นพิษภัยของการพัฒนาที่มุ่งเน้นทางด้านความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วในเมื่อเห็นว่า
การพัฒนาที่เน้นเศรษฐกิจเป็นโทษการพัฒนาโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญก็พลอยลดความสำคัญลงไปด้วย
คนก็หันมาเน้นการพัฒนาที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม
แล้วก็มาเน้นการพัฒนาคน บทบาทของมนุษย์ศาสตร์ก็เด่นขึ้น...
แก่นสารของมนุษยศาสตร์อยู่ที่การเรียนรู้ประสบการณ์ด้านอารมณ์ทั้งความสมหวังและผิดหวัง
ความรู้สึกนึกคิด และสุนทรียรส การเข้าถึงประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมเหล่านี้เป็นไปได้โดยผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์
ภาษาและวรรณกรรม และปรัชญา โดยเฉพาะวิชาปรัชญาให้ความสำคัญต่อเรื่องของอารมณ์เช่นกัน
จากการศึกษาของดร ชาญณรงค์ บุญหนุน พบว่า มิติทางอารมณ์มีนัยสำคัญต่อการศึกษา ส่งเสริมและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ไม่น้อยไปกว่าด้านการใช้เหตุผล
หากวิเคราะห์หลักการทรงงานในด้านมนุษย์ศาสตร์โดยใช้ปรัชญาคุณค่า (Axiology Value) เป็นพื้นฐานจะเห็นว่า หลักการทรงงาน และทฤษฎีการพัฒนาที่ปรากฏเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในทุกโครงการสะท้อนคุณค่าเกี่ยวกับ ความดี ความจริง ความงาม และความบริสุทธิ์ทางจิตใจ รวมถึงการมีความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าของสังคม ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ปรากฏในหลักจริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ ล้วนมีความสัมพันธ์กับหลักพุทธธรรม ดังนี้
หากวิเคราะห์หลักการทรงงานในด้านมนุษย์ศาสตร์โดยใช้ปรัชญาคุณค่า (Axiology Value) เป็นพื้นฐานจะเห็นว่า หลักการทรงงาน และทฤษฎีการพัฒนาที่ปรากฏเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในทุกโครงการสะท้อนคุณค่าเกี่ยวกับ ความดี ความจริง ความงาม และความบริสุทธิ์ทางจิตใจ รวมถึงการมีความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าของสังคม ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่ปรากฏในหลักจริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ ล้วนมีความสัมพันธ์กับหลักพุทธธรรม ดังนี้
1.จริยศาสตร์หรือ คุณค่าทางจริยธรรม (Ethical
Value) ซึ่งเป็นวิทยาการที่เกี่ยวกับคุณค่าทางด้านความประพฤติหรือพฤติกรรมของมนุษย์ ในการกระทำความดี
ตามจารีตประเพณี ตามหน้าที่
ตามจิตสำนึกหรือมโนธรรมและสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม สาระสำคัญตามนัยนี้
เป็นคุณค่าที่ปรากฏในหลักการและแนวปฏิบัติการทรงงานอันได้แก่ “ความพอดี
พออยู่-พอกินและพอใช้” เป็นการดำเนินชีวิตยึดหลักทางสายกลางหรือมรรคมีองค์ 8 เป็นความเชื่อ
ความเห็น ทัศนคติ ความเข้าใจที่ถูกต้องดีงาม มีเหตุผล เป็นปัจจัยต่อการปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบและดำเนินชีวิตที่ดีงาม นอกจากนี้หลักสายกลางคือการร่วมมือกัน ประสานประโยชน์อย่างสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสังคมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
“การพึ่งตนเอง” หลักการนี้อธิบายได้ว่านอกเหนือจากการพึ่งตนเองได้ทางวัตถุ
สิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่า คือการควบคุมตนเองให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงำของกิเลส
สามารถข่มตน ข่มใจ ให้เกิดปัญญาในการมีชีวิต
อย่างมีคุณค่า รู้เท่าทันความทุกข์และมีความสุขตามวิถีแห่งตน หรือเป็นการพึ่งตนเองได้ทางจิตใจนั่นเอง
“หลักพึ่งตนเอง” ด้วยการทำความดีดังกล่าว สอดคล้องกับหลักการกระทำเพื่อสร้างเหตุและผลตามหลักธรรมในพุทธศาสนา
ดังพระราชกระแสว่า
...ขอย้ำว่าเป็นทั้งเศรษฐกิจ
หรือความประพฤติที่ทำอะไรเพื่อให้เกิดผลโดยมีเหตุและผล คือผลนั้นมาจากเหตุถ้าทำเหตุที่ดี
การกระทำนั้นก็จะเป็นการกระทำที่ดี และผลของการกระทำนั้นก็จะเป็นการกระทำที่ดี “ดี”
แปลว่ามีประสิทฺธิผล “ดี”แปลว่ามีประโยชน์
“ดี” แปลว่าทำให้มีความสุข...
“ระเบิดจากข้างใน” ในความหมายที่เป็นแก่นของพุทธปรัชญา
คือการพัฒนาจิตของมนุษย์ หมายถึงการรู้จักตนเอง
พัฒนาที่ตนเอง ด้วยตนเองก่อน และเมื่อเชื่อมโยงกับหลักการทรงงานอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาสำนึกระดับบุคคล
สู่กลุ่มชน คือหลุดพ้นจากวิธีคิดแบบพึ่งพา มาพึ่งตนเอง เป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจได้เองว่า
จะกิน จะอยู่ จะทำอะไร อย่างไร เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ภูมิใจในรากเหง้า
วัฒนธรรม ค้นพบ “ทุน”
และศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง รู้ความต้องการ วางแผนการการดำเนินชีวิตของตนเอง และร่วมกันสร้างความมั่นคงให้ฐานรากของชีวิตให้เข้มแข็งมากกว่าการรอรับการพัฒนาจากภายนอก
ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับ “ภูมิสังคม”ของตน
“ขาดทุนคือกำไร” (Our Loss is
our gain) “
กำไรของเราคือความคุ้มค่า คือความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทั่วหน้า”
หลักการทรงงานมองถึงความต้องการความช่วยเหลือเป็นหลัก เป็นการ “ให้เพื่อให้” โดยคำนึงถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางจริยธรรมเรื่อง
“การให้” และ “ความมีเมตตาธรรม” เป็นการให้ความหมายทางจิตใจมากกว่าวัตถุวิสัยซึ่งเป็นลักษณะเด่นของมนุษย์ศาสตร์
“ทำให้ง่าย” ทำสิ่งเล็กๆ ทำอย่างเรียบง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน
หากแต่ประสานสอดคล้องกับภาวะปกติตามธรรมชาติ ไม่กระทบกระเทือนและทำลายสิ่งแวดล้อม
ไม่ก่อมลภาวะ ทางอากาศ สายน้ำ เช่น การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นการใช้เทคโนโลยีชาวบ้านเป็นต้น
หลักการทรงงานนี้ อาจกล่าวได้ว่าอาศัยหลักสุนทรียศาสตร์ซึ่งเป็นคุณค่าทางด้านความงาม
ความสมบูรณ์แบบและความเหมาะสมในการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์
“หลักแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติ” เป็นคุณค่าตามหลักตรรกศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำความรู้
ความจริงในความเป็นไปของธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาแก้ปัญหา ด้วยการใช้สติและปัญญาผสานกับความรู้เข้าดำเนินการ
ดังพระราชกระแสว่า .. “การปลูกต้นไม้โดยไม่ต้องปลูก”
“น้ำดีไล่น้ำเสีย” “ทิ้งป่าไว้ตรงนั้นไม่ต้องไปทำอะไรเลยป่าจะเจริญเติบโตเป็นป่าสมบูรณ์”
แนวคิดนี้ตรงกับหลักพุทธธรรมเกี่ยวกับการใช้ “ปัญญา”แก้ปัญหา
2.คุณค่านอกตัว (Extrinsic Value) และคุณค่าในตัว
(Intrinsic Value)
ประเภทคุณค่าแบ่งออกเป็น คุณค่านอกตัว
(Extrinsic Value) หมายถึงสิ่งหรือกระทำนั้น ๆ
เป็นเพียงวิถีทางหรืออุปกรณ์ที่จะนำไปสู่จุดหมายสุดท้าย ไม่มีคุณค่าในตัวเอง
แต่คุณค่าของมันอยู่ที่ผู้กระทำปรารถนา เช่น ผลผลิต ทรัพยากรธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นคุณค่านอกตัว เพราะต้องนำไปแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่าเพื่อให้สำเร็จสมความมุ่งหมาย
ในทรรศนะนี้ หลักการทรงงานมุ่งพัฒนาคุณค่าภายในตัวเพื่อการธำรง
รักษาของคุณค่านอกตัว เป็นการนำคุณธรรมในจิตใจ คือไม่คดโกง เอารัดเอาเปรียบ
รู้จักเสียสละและการให้เพื่อประสานประโยชน์ระหว่างตนกับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม
คุณค่าในตัว (Intrinsic Value) เป็นคุณค่าที่ตรงกับจุดหมายสุดท้ายคือการกระทำนั้นอยู่ในตัวเอง
ไม่เป็นวิถีหรืออุปกรณ์นำไปสู่สิ่งอื่นอีก
จัดเป็นคุณค่าที่แท้จริงจากหลักการทรงงาน เรื่อง “ระเบิดจากข้างใน”
สะท้อนถึงคุณค่าในตัวได้แก่
ความมีปัญญาในการดำรงชีวิตอย่างรู้เท่าทัน ความไม่โลภ ไม่เบียดเบียน ความอดทน ความเพียรและความซื่อสัตย์สุจริต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งพัฒนาคุณค่าภายในตัวด้วยพระวินิจฉัยว่าจะนำไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
3.คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
เมื่อพิจารณาหลักการทรงงานในเรื่องคุณค่าภายในและคุณค่าภายนอก
จะเห็นว่า ระบบความคิด ”ความพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพื้นฐานมาจากหลักพุทธธรรมทางสายกลาง
ฝ่ายปัญญาคือ สัมมาทิฐิ (Right View)
และสัมมาสังกัปปะ (Right Thought) คือ
ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อโลกและชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักแห่งความดี ความจริง และความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่อแสวงหาความจริง
เพื่อนำไปสู่การกระทำที่ดีที่ถูก ดังนั้นหลักการทรงงานที่มุ่งเน้นการพัฒนาคน โดยการพัฒนาปัญญาคือคุณค่าแท้
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
สอดคล้องกับแนวคิดนักปรัชญาตะวันตกที่สำคัญ คือ
โสเครติส “ความดีต้องมีมาตรการที่แน่นอน
ความดีมาจากความจริงซึ่งมีอยู่แล้วบุคคลจะเข้าถึง ความจริงได้ด้วยการใช้ปัญญาหยั่งความรู้ภายในเท่านั้น
......ความรู้คือคุณธรรม (Knowledge
in virtue) ความรู้ในที่นี้เป็นความรู้ขั้นบรรลุสัจธรรมสูงสุด
ไม่ใช่ความรู้ธรรมดา”
เพลโต “คุณธรรมเป็นความดีสูงสุด คุณธรรมที่สำคัญ 4 ประการ
คือ ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม และการรู้จักประมาณตน”
อริสโตเติล “ความดีสูงสุดคือ ความสุขที่จะได้รับจากการปฏิบัติคุณธรรม ซึ่งหมายถึง
การประพฤติอย่างพอดี”
หลักการทรงงานทั้งแนวทางพัฒนาและแนวคิดในการดำเนินชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในทรรศนะมนุษย์ศาสตร์ เกี่ยวกับปรัชญาคุณค่าเห็นว่า มีความโดดเด่นในคุณค่าเชิงจริยธรรมซึ่งเน้นการพัฒนาคุณค่าภายในมนุษย์ด้วยหลักพุทธธรรม”ทางสายกลาง”สอดประสานกับแนวคิดปรัชญา
วัฒนธรรมและสังคมสิ่งแวดล้อมในสังคมไทยอย่างสมดุล
ดังพระราชกระแสว่า...
...การพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น
ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน
โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพอสมควรและปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...
...หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็ว แต่ประการเดียว
โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการที่สัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนสอดคล้องด้วย
ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวไปในที่สุด...
บทสรุป
แนวความคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
นั้น
กล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาที่เสริมเติมเต็มรอยต่อของการพัฒนาตามกระแสหลักให้เหมาะสมบริบทและวัฒนธรรมของความเป็นชาติไทย มุ่งการพัฒนาโดยให้มนุษย์เป็นหลักในการขับเคลื่อนภารกิจด้วยศักยภาพของตนเอง
ยอมรับการสะสมทุนเพื่อพัฒนาความเจริญเติบโตโดยเน้นพัฒนาที่ทรัพยากรอันเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิต
ได้แก่ ดิน น้ำ ที่ทำกินและความรู้ด้านเกษตรกรรม
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคลและสังคมด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจไม่เอารัดเอาเปรียบใช้หลักและวิธีคิดมีลักษณะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน
(Simplify) ทำได้จริง พอเพียง พอประมาณ ด้วยการดำเนินชีวิตในทางสายกลางทั้งมิติทางสังคม
วัฒนธรรมและทางภูมิศาสตร์อันสอดคล้องแนบแน่นกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, สำนักงานกองประเมินผลและ
ข้อมูล.เศรษฐกิจพอเพียง.มิถุนายน, 2547.
. เศรษฐกิจพอเพียงทางเลือกในการพัฒนา.กรุงเทพฯ, 2547.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต).การศึกษากับการพัฒนามนุษย์.พิมพ์ครั้งที่2.กรุงเทพมหานคร:สหธรรมมิก,2542.
มนูญ มุกประดิษฐ์.การศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริกับ
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2549.
อัควิทย์
เรืองรอง. แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศจากพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและแนวทางการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนานิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา.
กรุงเทพฯ:สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ,
2555.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น