การนำนโยบายทางการศึกษาสู่การปฏิบัติ
: กรณีศึกษาการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน
สุดา
เดชพิทักษ์ศิริกุล
บทนำ
การสร้างประชาคมอาเซียนในปี
พ.ศ.2558 เป็นนโยบายของผู้นำอาเซียนที่ตกลงร่วมกัน
ในการรวมตัวกันของประเทศอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นและทันต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ข้อตกลงดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยมีการขับเคลื่อนหาแนวทางพัฒนาตนเองทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง
สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งด้านการศึกษา และรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน
ได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงอาเซียน
ดังปรากฏในวัตถุประสงค์นโยบาย
ข้อ 3 ที่ว่า “เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อม และความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
การเมืองและความมั่นคง” รวมถึงนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต ข้อ 4 (4.1) นโยบายการศึกษา (4.1.7)ที่ระบุว่า
“เพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับ การเปิดเสรีประชาคมอาเซียน
โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ
สอดคล้องตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการ
เร่งรัดการจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ และการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ครบทุกอุตสาหกรรม” และข้อ 4.2 นโยบายแรงงาน (4.2.6) “เตรียม
การรองรับการเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 โดยเน้นระบบบริหารจัดการเพื่อจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ
จัดระบบอำนวยความสะดวก และมาตรการการกำกับดูแล ติดตามการเข้าออกของแรงงานทุกประเภทเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีฝีมือเข้าประเทศควบคู่กับการป้องกันผลกระทบ
จากการเข้าประเทศของแรงงานไร้ฝีมือ”
(4.2.7) “กำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
โดยคำนึงถึงความต้องการแรงงานของภาคเอกชนและการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ”
จากวัตถุประสงค์นโยบายและนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต
พ.ศ.2554
ดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่บริบทของประชาคมอาเซียน และที่นำมาศึกษา
ในที่นี้เป็นบริบทด้านการศึกษาและด้านแรงงาน
เนื่องจากประเทศไทยได้เปิดเสรีทางการศึกษาซึ่งเป็นการเปิดเสรีทางการค้าบริการอย่างหนึ่ง และที่น่าสนใจคือ การนำนโยบายไปปฏิบัติในรูปแบบของ
พ.ร.บ ต่างๆ และกฎหมาย
ที่ต้องพิจารณาและปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐานการค้าเสรี ( GATS)
ได้แก่ พ.ร.บ
การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ร่าง พ.ร.บ
ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานและ พ.ร.บ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.
2548 ซึ่งมีผลต่อการหลั่งไหลของลูกจ้าง หรือแรงงานวิชาชีพต่างๆ
จากประเทศภายใต้ประชาคมอาเซียนเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเสรี ในขณะที่ลูกจ้างไทยในวิชาชีพบางประเภทเช่น
แพทย์
พยาบาลฯก็อาจมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปในประเทศที่มีอัตราค่าจ้างสูงกว่าประเทศไทย และหากมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานของลูกจ้างชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ในอนาคต
การเตรียมกฎหมายและเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพที่จะนำมาประเมินแรงงานไทยและต่างชาติให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
รัฐบาลและนายจ้างจึงจำเป็นต้องเตรียมแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในขณะเดียวกันการจัดการศึกษาเพื่อผลิตกำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงานของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
ควรวิเคราะห์ความเข้มแข็งทางวิชาการและพัฒนาให้โดดเด่น โดยเฉพาะในสาขา Agricultural and Biological Sciences,
Energy และ Medicine
ที่ถูกจัดลำดับว่ามีงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่มากเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
(SCOPUS ฐานข้อมูลการตีพิมพ์และการอ้างอิงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในอาเซียน
2548-2552)
เพื่อพร้อมแข่งขันกับประเทศสมาชิกอาเซียน
ทั้งนี้การศึกษาในโลกปัจจุบันสามารถดำเนินการในเชิงธุรกิจได้เช่นเดียวกับสินค้าและบริการประเภทอื่นๆ
จากการศึกษาการทำการตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศในหลายๆสาขา
พบว่าการเปิดเสรีทางการศึกษาเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ต้องปฏิบัติตามรูปแบบการค้าและบริการ
(Modes of service supply) ได้แก่ การบริการข้ามชาติ (Mode 1
Cross - border Supply) การใช้บริการต่างประเทศ (Mode 2
Consumption - Abroad)
การเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ (Mode 3 Commercial
Presence) และการให้บริการโดยบุคคลธรรมดา (Mode 4 Presence
of Natural Person)
ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายคนในระดับอุดมศึกษา
การประกอบธุรกิจการศึกษาของชาวต่างชาติ การแข่งขันดึงดูดนักศึกษา มาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา และมาตรฐานในการเข้าศึกษาต่อเป็นต้น
และที่สำคัญข้อตกลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ต้องวิเคราะห์ทั้งทางบวกและทางลบ
ในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
เพื่อปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าเสรี
รวมทั้งหามาตรการรองรับไม่ให้เกิดผลที่ตามมาภายหลังจากการแก้กฎหมาย
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
(policy
Implementation) เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการนโยบาย (policy
process)
เป็นตัวบ่งชี้การกระทำให้เกิดผลเป็นจริง
จำเป็นต้องทำควบคู่กับการประเมินผล นโยบาย
เพราะการประเมินผลฯจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสนอแนะแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ วิลเลียมส์ กล่าวว่า
กิริยาที่นำไปปฏิบัติมีความหมาย 2 ประการคือ
ประการแรกจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้การดำเนินการสำเร็จลุล่วงและประการที่สองคือการดำเนินการให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในการศึกษานี้
กล่าวได้ว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งของการนำนโยบายการศึกษาและนโยบายแรงงานซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต (คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ข้อ 4 (4.1) (4.2)
ไปปฏิบัติ
ทั้งในขั้นทำความเข้าใจวัตถุประสงค์นโยบายและขั้นการปฏิบัติ
ดังปรากฏในส่วนของจัดทำแนวทาง การยกร่าง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่จำเป็น
อันจะนำไปสู่การกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
การเตรียมการรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียน
และการจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการ ปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ
การอภิปราย แนวคิด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.1.
แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (policy
Implementation)
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
(policy
Implementation) เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการ นโยบาย
(policy process)
เป็นการบริหารนโยบาย การพัฒนาแผนงาน การออกคำสั่ง การกำหนดกิจกรรม ที่ครอบคลุม ระดับบุคคล
ระดับกลุ่ม
ทั้งที่อยู่ในระบบราชการและเอกชนเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย
ที่ประกอบด้วย การกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ
การประเมินผลนโยบายและการวิเคราะห์ผลสะท้อนกลับของนโยบาย นอกจากนี้การนำนโยบายไปปฏิบัติได้รับการมองว่าเป็นกฎหมายที่มีตัวแสดง องค์การ
วิธีปฏิบัติและเทคนิคต่างๆที่หลากหลาย
ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายของแผนหรือนโยบายบรรลุผล อีกทรรศนะหนึ่งเห็นว่าเป็นกระบวนการ (Process) หรือเป็นชุดของการตัดสินใจดำเนินการ
เป็นผลผลิต (Output) และเป็นผลลัพธ์ (Outcome)
กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับมหภาคและระดับจุลภาค ในระดับ มหภาค จะมีขั้นตอนดำเนินงานอยู่
2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนแรกเป็นการแปลงนโยบายออกมาเป็นแผน
(plan) แผนงาน (program) และโครงการ
(project) ซึ่งมีกิจกรรมในขั้นตอนนี้ ได้แก่ การทำความเข้าใจเป้าหมายนโยบาย การวิเคราะห์วัตถุประสงค์นโยบาย
การจัดระบบและกลไก ทั้งจัดรูปแบบองค์การ
การจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน
การประสานหน่วยงาน รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรในการดำเนินงานและขั้นตอนที่
2 เป็นการดำเนินงาน ส่วนกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติระดับจุลภาค จะมีขั้นตอนดำเนินงานอยู่ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นการระดมพลังประกอบด้วย
การแสวงหาความสนับสนุนจากประชาชนหรือกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์
และการแสวงหาวิธีการปฏิบัติ
ขั้นการปฏิบัติและขั้นสร้างความเป็นปึกแผ่นซึ่งเป็นการจูงใจให้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
กลไกการนำนโยบายไปปฏิบัติให้บรรลุความสำเร็จ ที่สำคัญคือ 1.ฝ่ายการเมืองซึ่งครอบคลุมถึง
รัฐสภาและรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่กำหนดขอบเขตการนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยการออกกฎหมาย มติคณะ รัฐมนตรี
กฎกระทรวงและระเบียบการปฏิบัติ 2.ระบบราชการ ประกอบด้วยโครงสร้าง
ได้แก่ระดับชั้นการบังคับบัญชา
บทบาทหน้าที่ตามตำแหน่งฯ
ค่านิยมและลักษณะพฤติกรรมของระบบราชการ เช่น การปฏิบัติตามเกณฑ์ ความมีเหตุผล
หลักความสามารถ และประโยชน์สาธารณะเป็นต้น
3.ข้าราชการในฐานะบุคคลแบ่งเป็นหลายระดับ
ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารโครงการและผู้ให้บริการต่างมีความสำคัญซึ่งกันและกันในการสนับสนุน
ส่งเสริมการนำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
และ 4.ผู้ที่ได้รับผลจากนโยบายทั้งในกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์และเสียผลประโยชน์
ตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
ได้แก่ตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติแบบบนลงล่าง (Top - Down
Approach) และตัวแบบการวิเคราะห์แบบล่างขึ้นบน (Buttom - up Approach)
ได้แก่ ตัวแบบการจัดการนโยบาย ตัวแบบผลลัพธ์ ตัวแบบกระบวนการเรียนรู้
และตัวแบบวิเคราะห์พันธมิตร ฯ ในการศึกษาครั้งนี้ สามารถใช้ตัวแบบกระบวนการเรียนรู้
และตัวแบบวิเคราะห์พันธมิตรในการวิเคราะห์ประเด็นผลกระทบและความสอดคล้องของข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆกับกฎหมายที่มีอยู่เดิมจะสามารถหาข้อสรุปเพื่อการตัดสินใจปรับแผนดำเนินการต่อไป ซึ่งตัวแบบการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้
ที่มีการแสวงหากลยุทธ์
วิธีการที่ต่อเนื่องมีผลต่อการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิ์ผล และจากเหตุผลที่ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการศึกษากับประชาคมอาเซียน
การมีพันธมิตรที่เกื้อกูลสนับสนุนกันระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสมาชิกอาเซียนที่มีความเชื่อและแสวงหาเป้าหมายร่วมกัน โดยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน
จะช่วยให้
การปรับแก้กฎหมายหรือนำเสนอนโยบายเพื่อความมั่นคง อาจได้รับการสนับสนุน หรือเกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด
ดังนั้นการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงมีลักษณะเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและสัมพันธ์กันคือ
มีกิจกรรมหนึ่งเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบต่อกิจกรรมที่ตามมาด้วยและเกิดการเปลี่ยนแปลง
แผนงาน โครงการ กิจกรรม
หรือกฎหมาย จนกระทั่งดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย
เมื่อพิจารณาคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา วันอังคารที่ 23
สิงหาคม 2554
ว่าด้วยจุดมุ่งหมายของนโยบาย
นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย
3 ประการ คือ
1. เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพและสุขภาพคนไทยในทุกช่วงวัยถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสามารถในการอยู่รอดและแข่งขันได้ของเศรษฐกิจไทย
2. เพื่อนำประเทศไทยสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของหลัก
นิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน
3. เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
และการเมืองและความมั่นคง
การนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายหลังการตรากฎหมายหรือพระราชบัญญัติเรียบร้อยแล้ว
ในกรณีนี้เป็นการวิเคราะห์ทำความเข้าใจกับ วัตถุประสงค์นโยบาย
และแปลงนโยบายในรูปแบบของแผนงานหรือโครงการ โดยมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ศึกษาผลกระทบที่เกิดจากเนื้อหา
หลักการพื้นฐานการเปิดการค้าเสรีที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงประชาคมอาเซียน
ในด้านการลงทุนบริการการศึกษา
การเคลื่อนย้ายแรงงานด้านวิชาชีพ
มาตรการควบคุมคุณภาพการศึกษาและการจัดเตรียมหลักสูตรและมาตรฐานการเทียบโอนหน่วยกิจระหว่างประเทศในประชาคมอาเซียนฯเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเสรีทางการศึกษาในปี
2558
ซึ่งการวิเคราะห์ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและแรงงาน
ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดเป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ระดับมหภาค และเมื่อนำมาศึกษากับตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติดังกรณีศึกษา
เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีทางการศึกษาดังรายละเอียดที่กล่าวแล้วข้างต้น สามารถสรุปและอภิปรายได้ว่า
1.
การนำนโยบายไปปฏิบัติมีลักษณะพิเศษ สอดคล้องกับแนวคิดของ Randall Ripley
and Grace Franklin คือ มีผู้เกี่ยวข้องสำคัญจำนวนมาก
ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคลและองค์การทั้งเอกชน
ภาครัฐในประเทศและต่างประเทศ
ดังที่ปรากฏในการศึกษานี้ ได้แก่ นายยกรัฐมนตรี
คณะกรรมการศึกษากฎหมายและพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและแรงงาน
รวมทั้งประเทศสมาชิกที่ทำข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน เป็นต้น
2.
มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายระดับ เช่น สำนักนายยกรัฐมนตรี
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
3. วัตถุประสงค์ของนโยบายมีลักษณะกระจัดกระจาย
ไม่ชัดเจน ในวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งมีวัตถุประสงค์อื่นๆซ้อนกัน ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต้องตีความทำความเข้าใจแตกต่างกันและมักเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติ
ดังที่ปรากฏในวัตถุประสงค์นโยบายข้อที่3 “เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 อย่างสมบูรณ์” “สร้างความพร้อมและความเข้มแข็ง ทั้งทาง “ ด้านเศรษฐกิจ” “สังคมและวัฒนธรรม” และ
“การเมืองและความมั่นคง”
4.
นโยบายของรัฐบาลมีการขยายตัว
ดังนั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง และมีการขยายตัวของกิจกรรม
ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายที่มีจำนวนและขอบเขตมากขึ้น
และจากลักษณะสำคัญของการนำนโยบายไปปฏิบัติทั้ง 4 ประเด็น
สามารถสะท้อนให้เห็นกระบวนการนโยบายและลักษณะการนำนโยบายไปปฏิบัติซึ่งเป็นหัวใจของขั้นตอนนโยบาย ดังภาพ
1. GATS, WTO,
ACFTA นโยบาย Market
Access
,
National Treatment,
ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต พ.ศ.2554
ก่อให้เกิด Transparency เปิดเสรีทางการศึกษา
พ.ร.บ
ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน
พ.ร.บ การทำงานของคนต่างด้าว2551ฯ
2. การนำนโยบายไปปฏิบัติ/ ใช้เป็นกรอบ
การวิเคราะห์แปลความกฎหมาย/
พ.ร.บ เสนอแนวทางปรับแก้กฎหมาย การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย
ก่อให้เกิด และเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ
นำไปสู่
3. การประเมินผลเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบาย ผลการดำเนินงาน/ผลกระทบ
1.2
ข้อตกลงการเปิดเสรีทางการศึกษาที่ประเทศไทยทำกับต่างประเทศและมีผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านการศึกษา
ในการพิจารณาข้อตกลงนี้
อาศัยการทำความเข้าใจข้อมูลหลักการพื้นฐานระหว่างประเทศของความตกลงด้านการค้าและบริการ รูปแบบการค้าบริการ สาขาของการบริการและประเภทของการค้าบริการด้านการศึกษา
หลักการพื้นฐานระหว่างประเทศของความตกลงด้านการค้าและบริการมีหลักการพื้นฐานมาจาก
General
Agreement on Trade in Services: GATSขององค์การค้าโลก (WTO)
ประกอบด้วยหลักการดังนี้
1.
หลักการลดข้อจำกัดการเปิดตลาด (Market Access)
เป็นหลักการที่ห้ามการกำหนดระเบียบต่างๆอันนำมาซึ่งการจำกัดเข้าสู่ตลาดหรือให้บริการ
โดยระบุข้อจำกัดในตารางข้อผูกพันเฉพาะซึ่งอยู่ในกรอบของความเป็นธรรมและมีเหตุผล
ได้แก่ การจำกัดจำนวนผู้ให้บริการ การจำกัดประเภทเฉพาะของการจัดตั้งธุรกิจ
การจำกัดการเข้าร่วมทุนพ.ร.บนของต่างชาติฯ
2.
หลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) คือรัฐสมาชิกต้องปฏิบัติต่อการบริการหรือกิจกรรมการบริการไม่ด้อยกว่าการปฏิบัติที่เหมือนกันของคนในชาติ
3.
หลักการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส (Transparency) สมาชิกต้องเปิดเผยข้อกฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับต่างๆให้สาธารณชนรับทราบ
(ยกเว้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง)
4. หลักการเปิดเสรีแบบก้าวหน้าตามลำดับ (Progressive)
เป็นหลักการที่เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกดำเนินการเปิดเสรีตามความพร้อมของประเทศตน สามารถกำหนดระเบียบภายในที่จำเป็นในการกำกับดูแลธุรกิจบริการเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศได้
แต่ต้องเป็นมาตรการที่เป็นกลางและมีเหตุผลและต้องมีการทบทวนความก้าวหน้าในการเปิดเสรีตามลำดับ
5 ปี
5.
หลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (The Most Favoured National
Treatment-MFN)
เป็นหลักการที่ตั้งอยู่บนความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน
โดยรัฐคู่ภาคีต้องให้โดยทันทีและปราศจากเงื่อนไขแก่ผู้ให้บริการ
ในการปฏิบัติไม่น้อยกว่าที่ให้แก่ผู้ให้บริการของสมาชิกอื่นใด
อาจกล่าวได้ว่า
ข้อตกลงการเปิดเสรีทางการค้าตามหลักการ GATS
ขององค์การค้าโลก (WTO) มีวัตถุประสงค์ที่จะลดอุปสรรคทางการค้า
การค้าบริการและการลงทุน ระหว่างกัน ให้เหลือน้อยที่สุด
รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ
การลดอุปสรรคในการให้บริการต่างๆ เช่น การสื่อสาร การศึกษา เป็นต้น การเปิดเสรีทางการศึกษาเป็นการเปิดเสรีการค้าบริการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการตามหลักการดังกล่าวข้างต้น และข้อตกลงการเปิดเสรีทางการศึกษาที่ประเทศไทยทำกับต่างประเทศ ได้แก่
- ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน (ACFTA)
ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมบริการในสาขาวิชาชีพการศึกษา
การบริการด้านสุขภาพการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าทางเรือมีผลบังคับใช้วันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
- ความตกลงการค้าบริการของอาเซียน
(AFAS) ในข้อผูกพันตลาดการค้าบริการชุดที่7
มีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
- ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน
–ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA)
มีผลบังคับใช้ปลายปี พ.ศ.2552 ถึงต้นปี พ.ศ.2553
1.3.
กฎหมายและระเบียบที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการศึกษา
ในการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการเกี่ยวกับการศึกษา
ซึ่งเป็นการเจรจา
การทำความตกลงระหว่างประเทศซึ่งผลผูกพันหากจะให้เป็นไปตามข้อตกลงอาจมีผลกระทบต่อกฎหมายและระเบียบต่างๆ
ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศจึงจำเป็นต้องพิจารณา
วิเคราะห์กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่ผ่านมาเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ กฎหมายและระเบียบต่างๆที่สำคัญ ดังนี้
- พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน พ.ศ.2546แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550
-
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ.
2549
- พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
พ.ศ. 2550 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง คือ เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ
สัญชาติของผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน ทั้งบุคคลธรรมดา (ม.21) นิติบุคคล (ม.22 (5))
รวมทั้งผู้อำนวยการกองทุนสงเคราะห์ (ม.37) และ (ม.69) คือต้องมีสัญชาติไทย
ซึ่งมีผลกระทบต่อความตกลงระหว่างประเทศและอาจนำไปสู่การแก้ไขเงื่อนไขเรื่องสัญชาติต่อไป
-
ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริการศึกษาเอกชนว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และ
วิธีการแต่งตั้งผู้จัดการ พ.ศ.2551 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
คือ เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ สัญชาติคือต้องมีสัญชาติไทย
-
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนเอกชนนานาชาติระดับก่อนประถมศึกษา
ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา พ.ศ.2550เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง คือ
เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ สัญชาติคือผู้จัดการต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด
-
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา
พ.ศ.
2545 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549
-
กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับโรงเรียนราษฎร์
ประเภทอาชีวศึกษาที่เปิดสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพ.ศ.
2525
- พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ.2497แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2551
-
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ. 2542
จากการศึกษาพบว่ามีประเด็นที่ควรพิจารณาคือ
เรื่องทุนขั้นต่ำ
ทั้งจำนวนทุนและระยะเวลาในการนำเข้าของทุนรวมทั้งประเภทของการประกอบธุรกิจที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้มีความไม่สอดคล้อง
และส่งผลกระทบต่อความตกลงระหว่างประเทศ
ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนหรืออาจวางนโยบายในการออกกฎหมายใหม่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านความมั่นคงของประเทศเป็นสำคัญ
- พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ.2522แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542
- พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าวพ.ศ.
2551
จากการศึกษาในส่วนของเนื้อหาการทำความตกลงระหว่างประเทศต่างๆที่ประเทศไทยผูกพันในสาขาบริการการศึกษาและวิเคราะห์ประเด็นกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้อง
ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า
มีความไม่สอดคล้องในประเด็นเกี่ยวกับสัญชาติ คือ
ต้องมีสัญชาติไทยของผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจการศึกษาและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทุนขั้นต่ำ
ประเภทของการค้าบริการด้านการศึกษาแบ่งออกเป็น
5 ระดับคือ
- ระดับ A
บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับเตรียมประถมและประถมศึกษาไม่รวมบริการรับ
เลี้ยงเด็ก
- ระดับ B บริการการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นตอนปลายสายสามัญสายเทคนิคและ
อาชีวศึกษา
- ระดับ C บริการการศึกษาระดับอุดมศึกษาสายเทคนิคและสายอาชีวศึกษา
- ระดับ D
บริการการศึกษาหลักสูตรวิชาชีพหรือหลักสูตรระยะสั้น การศึกษาผู้ใหญ่
ครอบคลุมการศึกษานอกระบบ
- ระดับ E บริการการศึกษาอื่นๆได้แก่
สอนภาษา ศิลปะและดนตรี
จากข้อมูลประเภทการค้าด้านการศึกษา
มีความน่าสนใจในประเด็นเกี่ยวกับเกณฑ์การรับนักศึกษา การเทียบโอนหน่วยกิต การเทียบวุฒิการศึกษา
ซึ่งไม่มีการกำหนดมาตรฐานไว้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในระดับ C
บริการการศึกษาระดับอุดมศึกษาฯ อาจก่อให้เกิดปัญหาได้โดยเฉพาะด้านคุณภาพผู้เข้าศึกษาอาจไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรทั้งเชิงความรู้และวุฒิภาวะ
ดังนั้นจึงควรหามาตรการในการแก้ไขปัญหา
เรื่องเกณฑ์การเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
การขอเทียบวุฒิจากต่างประเทศเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากลและเป็นการเตรียมพร้อมการเปิดเสรีทางการศึกษาต่อไป
ปัจจุบันประเทศไทยมีความผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกษาใน3ประเภท คือโรงเรียนนานาชาติ
อาชีวศึกษาและการศึกษาเทคนิคและหลักสูตรวิชาชีพและหลักสูตรระยะสั้นโดยให้เปิดเสรีโดยไม่มีข้อจำกัดในรูปแบบการถือหุ้น ส่วนการศึกษาในระดับอุดมศึกษายังไม่มีความผูกพันในกรอบอาเซียน
นอกจากนี้ประเด็นที่ควรนำมาพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งคือ รูปแบบการค้าและบริการ
(Modes of service supply) ตามหลักการขององค์การการค้าโลก
(WTO) ซึ่งมี 4 รูปแบบได้แก่ Mode 1 การบริการข้ามแดน (Cross - border Supply)
เป็นการให้บริการจากประเทศหนึ่งๆ ผ่านสื่อโดยผู้ให้บริการไม่ต้องไปอีกประเทศหนึ่ง
เช่น การศึกษาทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต และ E-Learning เป็นต้น Mode 2 การใช้บริการต่างประเทศ (Consumption - Abroad) เป็นการให้บริการโดยผู้บริโภค
(Service Consumer)
ประเทศหนึ่งไปใช้บริการอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นผู้ให้บริการ (Service
Supplier) โดยการให้บริการจะมีขึ้นในดินแดนเดียว เช่น การเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นต้น Mode 3 การเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ
(Commercial Presence) เป็นกรณีที่ผู้ประกอบกิจการประเทศหนึ่งไปลงทุนตั้งสำนักงานเพื่อให้บริการอีกประเทศหนึ่ง
โดยให้บริการผ่านทางEntities เช่นการตั้งสาขา สำนักงาน
ตัวแทน เป็นต้น และ Mode 4 การให้บริการโดยบุคคลธรรมดา (Presence
of Natural Person) เป็นการให้บริการโดยบุคคลธรรมดาประเทศหนึ่งไปทำงานในดินแดนอีกประเทศหนึ่งเป็นการชั่วคราว
เช่น อาจารย์ต่างชาติเข้ามาสอนหนังสือในประเทศหนึ่ง
จากประเด็นเรื่องรูปแบบการค้าและบริการซึ่งการเปิดเสรีทางการศึกษา
อาจมีผลกระทบต่อระบบการศึกษาของประเทศไทยทั้งทางบวกทางลบ โดยผลกระทบทางบวกนั้นการเปิดเสรีทางการศึกษาใน Mode
3 ที่ว่าการเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ (Commercial
Presence) จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูง
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการมีทางเลือกมากขึ้นและขณะเดียวกันจะส่งผลให้สถานศึกษาพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษาเพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น
ส่วนผลกระทบในทางลบนั้นยังไม่มีข้อมูลในการพิจารณาที่ชัดเจน แต่การเปิดเสรีด้านการบริการการศึกษา
อาจทำให้เกิดปัญหาในกรณีของการควบคุมคุณภาพให้มีความเท่าเทียมกัน
ให้ได้มาตรฐานทั้งสถานศึกษาที่มีเจ้าของเป็นคนไทยกับสถานศึกษาที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติหากไม่สามารถทำให้เกิดความเท่าเทียมกันได้จะเกิดผลกระทบในทางลบ และในกรณี Mode 4 การให้บริการโดยบุคคลธรรมดา
(Presence of Natural Person)เช่น
อาจารย์ต่างชาติเข้ามาสอนหนังสือในประเทศสิ่งที่ควรพิจารณา
คือเกณฑ์และมาตรฐานในการอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ควรให้ความสำคัญกับการประเมินคุณภาพ ประเภท
ความชำนาญและความเท่าเทียมกันในโอกาส ไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติเพื่อป้องกันผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้น
ดังนั้นหากมีการแก้กฎหมายก็ควรมีมาตรการรองรับเพื่อมิให้เกิดผลกระทบตามมาในภายหลัง การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังและเท่าเทียมกัน ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง
ในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ส่งผลกระทบในทางบวกในเรื่องความร่วมมือกันและความมั่นคงของประเทศ
บทสรุป การวิเคราะห์เนื้อหาความตกลงระหว่างประเทศต่างๆ
ที่ประเทศไทยได้ มีการเปิดเสรีสาขาบริการการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องพบความไม่สอดคล้องในตัวบท
และอาจมีผลกระทบต่อข้อตกลงดังกล่าว การนำข้อมูลไปใช้ในการปรับแก้กฎหมาย หรือนำไปสู่วิธีทางนโยบายในการออกกฎหมายใหม่นั้น
อาจกล่าวได้ว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งของการนำนโยบายสู่การปฏิบัติซึ่งจำเป็นต้องทำควบคู่กับการประเมินผลนโยบาย
เพราะการประเมินผลฯจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสนอแนะแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในบทความนี้
เป็นกิจกรรมหนึ่งของการนำนโยบายการศึกษาและนโยบายแรงงาน ซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต ไปสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วยการจัดทำแนวทาง การยกร่าง
การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่จำเป็น และนำไปสู่การกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
การเตรียมการรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียน
การจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ การออกกฎหมายรองรับการเปิดเสรีบริการการศึกษาเป็นสิ่งที่สถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและติดตามการเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดกลยุทธ์การศึกษา
ผลิตแรงงานด้านการบริการให้เป็นหนึ่งในประเทศประชาคมอาเซียนที่ไม่เสียดุลการค้า.
เอกสารอ้างอิง
จุมพล หนิมพานิช. การวิเคราะห์นโยบาย ขอบข่าย แนวคิดและกรณีตัวอย่าง.
นนทบุรี:
สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช, 2552.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. โครงการศึกษาแนวทางพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการ
ศึกษา. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด วีทีซี คอมมิวนิเคชั่น, 2553.
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.
ยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น
ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558. กรุงเทพฯ
: ห้างหุ้นส่วนจำกัดบางกอกบล็อก, 2553.
สมบัติ
ธำรงธัญวงศ์. นโยบายสาธารณะ:
แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์
เสมาธรรม, 2554.
ความสนใจ
ตอบลบคุณกำลังมองหาสินเชื่อเพื่อเปิดธุรกิจ กู้ซื้อบ้าน ชนิดของเงินกู้ยืมที่คุณต้องการหรือไม่ นี่ คือโอกาสของคุณ เราให้ออกเงินให้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ เช่นสินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อธุรกิจ ฯลฯ คนจริงจัง และสนใจในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 1.5%
ติดต่อเราตอนนี้ผ่านทางอีเมล์:: info.beaconloansfirm@gmail.com
อย่าพลาดนี้โอกาสดี ขอบคุณ
Natchaya พาลา -en
Info.beaconloansfirm@gmail.com
สวัสดี !!!
ตอบลบต้องการบริการสินเชื่อที่ถูกต้องและรวดเร็ว? สมัครสำหรับขั้นตอนต่อไป เรานำเสนอทุกชนิดของเงินให้สินเชื่อที่ 2% อัตราดอกเบี้ยต่อปีจากช่วงของ 5000-50000000 บุคคลใดที่สนใจควรตอบกลับมาให้เรามีดังต่อไป: อีเมล์: thomson.loanservice@gmail.com
ข้อมูลที่จำเป็นโปรดติดต่อเรา
ชื่อเต็ม: ..........
หมายเลขโทรศัพท์:.......
รายได้ต่อเดือน: .............
ประเทศ ...............................
สินเชื่ออเนกประสงค์ ...........
จำนวนเงินที่จำเป็น .................
เงินกู้สถานะ / ระยะเวลา: ...........................
ติดต่อเราโดยอีเมล: thomson.loanservice@gmail.com
ประกาศเครดิต
บริษัท เงินทุน
ติดต่อ Speedy เครดิตในขณะนี้ !!!
บริษัท เงินกู้ RIKA ANDERSON
ตอบลบrikaandersonloancompany@gmail.com
w / s +14147057484
ฉันนาง Nisrina Endang จาก Makassar, อินโดนีเซีย, ฉันใช้สื่อเพื่อบอกพี่น้องของฉันว่าฉันเพิ่งได้รับเงินกู้ 250 ล้านจากแม่ที่ดีเมื่อลูกป่วยและต้องการปลูกถ่ายไตที่ฉันไม่ต้องการ ' ไม่มีเงินทั้งหมดมีคนปฏิเสธที่จะให้ยืมเงินกับฉันธนาคารของฉันปฏิเสธฉันจนกว่าฉันจะได้พบกับนาง Pertiwi Gesang อีเมล pertiwigesang@gmail.com และแม่ Merpati Darma กับอีเมล merpatidarma@gmail.com บริษัท ที่เรียกว่า Ibu RIKA ANDERSON เงินกู้ บริษัท
พวกเขาให้เงินกู้ฉันเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกของฉันและตั้งธุรกิจโดยไม่มีหลักประกันพร้อมดอกเบี้ย 2% นางริกาเป็นผู้กอบกู้ชีวิตขอพระเจ้าทรงอวยพรแม่ที่ซื่อสัตย์สำหรับการทำความดีของเขาต่อไป
หากคุณต้องการสินเชื่อหรือความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อชำระหนี้ของคุณหรือลงทุนในธุรกิจของคุณฉันจะแนะนำให้คุณติดต่อ บริษัท ผ่านทางอีเมลในกรณีและทุกคำถามหรือข้อเสนอแนะฉันสามารถติดต่อทางอีเมลได้ที่ endangnisrina@gmail.com ฉันหวังว่าความสงบสุขและพรเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนกังวล
Nisrina Endang
endangnisrina@gmail.com
BCA IDR 250,000,000
จาก Makassar, อินโดนีเซีย
สวัสดี !
ตอบลบคุณต้องการบริการสินเชื่อที่ถูกต้องและรวดเร็วหรือไม่?
สมัครเลยรับเงินสดด่วน!
* ยืมระหว่าง $5,000 ถึง $50,000,000
* เลือกระหว่าง 1 ถึง 30 ปีในการชำระคืน
* ข้อกำหนดและเงื่อนไขการกู้ยืมที่ยืดหยุ่น
แผนทั้งหมดเหล่านี้และอื่น ๆ ติดต่อเราตอนนี้
ติดต่อเราทางอีเมล: gerred.breinloanlenderr@gmail.com
ความนับถือ
การจัดการ.
ติดต่อสินเชื่อด่วนของคุณตอนนี้!!
Our bank instruments can serve as collateral as the case may be, which will enable you get loans from your bank so as to embark on any projects such as Aviation, Agriculture, Petroleum, Mining, Telecommunication, Construction of Dams, Real estate, Bridges, Other Turnkey Project (s) etc.
ตอบลบWaiting for your effective feedback .
Thanks & Regard
Contact Name: JAMES
📧 financeservicetrust@gmail.com
📞 +447776523627
WhatsApp :+447776523627