รายงานการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัย
เรื่อง “การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์”
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา (Background)
แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันพระบรมราชชนก (พ.ศ. 2554-2558)
ได้กำหนดผลผลิตของแผนยุทธศาสตร์ด้านองค์ความรู้และนวตกรรมทางสุขภาพเพื่อการพัฒนาการบริการสาธารณสุขแก่ชุมชนและประเทศ
ในกลยุทธ์มิติลูกค้าไว้ว่าจะสร้างและพัฒนาผู้เรียนให้มีอัตลักษณ์และจิตวิญญาณในการบริการสุขภาพในชุมชนอย่างมืออาชีพที่เคารพความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม
ซึ่งได้กำหนดแนวทางปฏิบัติตามยุทธศาสตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้เรียนและของสถาบันไว้ดังนี้
1) กำหนดคุณลักษณะของผู้เรียนที่พึงประสงค์ที่เป็นอัตลักษณ์ของสถาบันที่ชัดเจนและให้ทุกวิทยาลัยได้นำไปปฏิบัติและประเมินผลผู้เรียนพร้อมทั้งกำหนดเป็นมาตรฐานของการสำเร็จการศึกษาจากการที่ผู้เรียนต้องสอบวัดผลตามเกณฑ์สมรรถนะของสถาบัน
2) ปรับระบบการเรียน การสอน หลักสูตร แผนการสอน
การประเมินผลที่เน้นการสร้างและพัฒนาผู้เรียนให้มีอัตลักษณ์และจิตวิญญาณในการบริการสุขภาพในชุมชนอย่างมืออาชีพที่เคารพในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม
โดยเน้นการบริการชุมชนเป็นสำคัญ
จากเหตุผลดังกล่าวสถาบันพระบรมราชชนกได้กำหนดอัตลักษณ์บัณฑิต คือ “บริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ” โดยมีความหมายว่า
การให้บริการที่เป็นมิตร มีความรัก ความเมตตา ใส่ใจในปัญหาและความทุกข์ของผู้รับบริการและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ให้บริการตามปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการที่เป็นจริง โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้รับบริการเป็นหลัก
และได้กำหนดตัวชี้วัดสมรรถนะหลักที่ตอบสนองต่ออัตลักษณ์ 3 ประการ คือ 1) มีจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
(Service mind) 2)
มีการคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical
thinking) 3)
คำนึงถึงสิทธิของผู้ป่วยและเน้นให้ผู้ป่วยเข้ามามีส่วนร่วมในการรับบริการ (Participation and
Patient Right)
นอกจากนี้การปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence
based practice;EBN) เป็นสมรรถนะหนึ่งที่กำหนดไว้ในมาตรฐานคุณวุฒิบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์
(Thai Qualifications Framework for Higher Education: TQF) ซึ่งระบุว่า บัณฑิตพยาบาลต้องมีความสามารถในการสืบค้นข้อมูล
และการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการปฏิบัติการพยาบาล
จากข้อกำหนดดังกล่าวทำให้สถาบันการศึกษาพยาบาลที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีต้องมุ่งผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในระดับพื้นฐานเพื่อตอบสนองมาตรฐานดังกล่าว วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ได้มีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างเสริมสมรรถนะการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา
และได้รับการยกย่องให้เป็นสถาบันการศึกษาที่มีการปฏิบัติที่ดีตามตัวบ่งชี้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและสร้างเสริมประสบการณ์จริง
กรณีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการนำผลการวิจัยไปใช้ในปี พ.ศ.2550 โดยดำเนินการพัฒนาควบคู่กับการวิจัยและการถอดบทเรียนสังเคราะห์ความรู้จากประสบการณ์ของอาจารย์ผู้สอน
จากแผนยุทธศาสตร์ของสถาบันพระบรมราชชนก กรอบแนวคิด
ปรัชญา วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
ลักษณะวิชา
วัตถุประสงค์รายวิชาของหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ฉบับปรับปรุง ปีพ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2552
ซึ่งมีการนำแนวคิดการดูแลอย่างเอื้ออาทรมาใช้ในการจัดการศึกษา โดยวิทยาลัยได้นำพฤติกรรมการดูแลระหว่างบุคคล 10 ปัจจัยของวัตสันมาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนด้วยความเอื้ออาทร
มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 และจากการศึกษาคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์รวมทั้งการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้วิทยาลัยมีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างเสริมสมรรถนะการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา วิทยาลัยได้กำหนดอัตลักษณ์บัณฑิตไว้ว่า
“การบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์” ซึ่งหมายถึง
การให้บริการด้วยความเต็มใจ
เอาใจใส่ในปัญหา ความทุกข์ของผู้รับบริการ
คิดวิเคราะห์ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ
และแก้ไขปัญหาตามความต้องการที่แท้จริงของผู้รับบริการ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และให้ผู้รับบริการมีส่วนร่วม
ประกอบด้วย
จิตบริการ
(Service mind: S) หมายถึง
การบริการด้วยความเต็มใจ เอาใจใส่ในปัญหาและความ
ทุกข์ของผู้รับบริการอย่างเสมอภาคและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
โดยมีคุณลักษณะและพฤติกรรมที่คาดหวัง ได้แก่
เต็มใจ (Willing) หมายถึงการปฏิบัติต่อผู้รับบริการด้วยท่าทีเป็นมิตร กิริยาสุภาพอ่อนโยน
พูดจา
ไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสเห็นใจ
เอาใจใส่ (Attentiveness) หมายถึงกระตือรือร้น สอบถามทุกข์สุขและสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่าง
สม่ำเสมอและตอบสนองต่อความรู้สึกหรือความต้องการของผู้รับบริการอย่างทันท่วงที
ให้ความช่วยเหลือโดยผู้รับบริการไม่ต้องร้องขอ ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ความเสมอภาค
(Equity) หมายถึงการปฏิบัติต่อผู้รับบริการอย่างเท่าเทียมกัน
โดยไม่แบ่งแยก
เคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (Respect & Dignity) หมายถึง
การยอมรับและเคารพใน
ความแตกต่างทางความคิดและพฤติกรรม
ของแต่ละบุคคล (การรับฟังด้วยความตั้งใจ ปราศจากอคติ
ไม่ตีค่าตัดสินความเป็นมนุษย์)
การคิดวิเคราะห์และใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(Analytical thinking and Evidence based: Ae )
หมายถึง
การคิดวิเคราะห์ปัญหาโดยใช้วิจารณญาณจากข้อมูลที่หลากหลายตามสภาพจริงและวางแผนแก้ปัญหาตอบสนองความต้องการอย่างเป็นระบบและใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
วิเคราะห์ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ
หมายถึง การรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ที่หลากหลายตาบริบทที่เป็นจริงของผู้รับบริการ
และพิจารณาความถูกต้อง
ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่รวบรวมได้ระบุปัญหาและสาเหตุจากข้อมูลที่มีอยู่จริง
และเชื่อมโยงองค์ความรู้อย่างมีหลักการสู่การแก้ปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้รับบริการ
วางแผนแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
หมายถึง การคิดประยุกต์วิธีการแก้ปัญหาตามสาเหตุที่แท้จริงอย่างปลอดภัยโดยมีความรู้และหลักฐานอ้างอิงอย่างชัดเจนสอดคล้องกับสภาพจริงที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
และนำผลลัพธ์จากการแก้ปัญหาไปปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
การบริการแบบมีส่วนร่วม (Participation: P) หมายถึง ปฏิบัติการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตามปัญหา
และความต้องการโดยให้ผู้รับบริการมีส่วนร่วม
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic
Care) หมายถึง ให้การดูแลผู้รับบริการที่ครอบคลุม กาย จิต
สังคมและจิตวิญญาณ
และสอดคล้องกับบริบทของสังคม
ผู้รับบริการมีส่วนร่วมหมายถึง มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล
วางแผน ตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหา ดูแลสุขภาพ
และติดตามประเมินผลการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการอย่างต่อเนื่อง
จากกรอบแนวคิดดังกล่าวเพื่อให้บัณฑิตที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีสระบุรีมีอัตลักษณ์บัณฑิตตามที่กำหนดไว้คือ
“การบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์” และจากผลงานวิจัยในด้านการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมาของวิทยาลัยยังคงเป็นผลงานวิจัยเดี่ยวที่ขาดการเชื่อมต่อให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน
จึงไม่สามารถนำไปเผยแพร่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนาการศึกษาพยาบาล
ตลอดจนวิทยาลัยยังไม่มีการสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากการทำวิจัยและจากการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาบัณฑิตให้มีความสามารถในสมรรถนะดังกล่าว
ดังนั้นเพื่อเป็นพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติการพยาบาลที่มีคุณภาพเมื่อสำเร็จการศึกษาต่อไปจึงมอบหมายให้คณะอนุกรรมการดำเนินการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัยด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์
เพื่อนำไปเผยแพร่ต่อสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพพยาบาลและแสดงถึงพลังทางวิชาการและความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวิทยาลัย
วัตถุประสงค์ (Objective)
วัตถุประสงค์การสังเคราะห์ความรู้จากการวิจัยครั้งนี้
เพื่อ 1) พิจารณาผลงานวิจัยและวิชาการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในประเด็นการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมและพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
2) เพื่อรวบรวมความรู้ที่ได้จากงานวิจัยและวิชาการมาจัดทำข้อเสนอแนะ
การจัดการเรียนการสอนที่พัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
และเผยแพร่ไปยังสถาบันการศึกษาที่มุ่งเน้นการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ให้ได้ใช้ประโยชน์โดยตรง
3) เพื่อศึกษาจุดอ่อน
จุดแข็งของงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้สำหรับพัฒนาการทำวิจัยในการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมพัฒนานักศึกษาของอาจารย์ที่มีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังและพัฒนาสมรรถนะนักศึกษาพยาบาลของวิทยาลัย
วิธีดำเนินงาน (Methods)
การสังเคราะห์องค์ความรู้จากผลงานวิจัยในประเด็นด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
และการสกัดองค์ความรู้หรือข้อค้นพบจากงานวิจัยเพื่อนำมาจัดทำข้อเสนอแนะ (Recommendations)
คณะทำงานจึงดำเนินการตามระเบียบวิธีการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบดังต่อไปนี้
1. การสืบค้นข้อมูล (Search strategy)
เป็นขั้นตอนการรวบรวมผลงานวิจัยที่ดำเนินการโดยบุคลากรของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2550-2555 ดังต่อไปนี้
1.1 สืบค้นผลงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่จากฐานข้อมูลงานวิจัยในระหว่าง ปี
พ.ศ. 2550-2555 และคัดเลือกผลงานวิจัยที่มีคำสำคัญ (Keyword) ว่า บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ความเอื้ออาทร การคิดวิเคราะห์
การมีส่วนร่วม และหลักฐานเชิงประจักษ์
1.2 ค้นหาจากระเบียนหนังสือในห้องสมุด วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
โดยใช้คำสำคัญ (Keyword) เหมือนในข้อ 1.1
1.3 สอบถามชื่อเรื่องผลงานวิจัยโดยตรงจากอาจารย์ที่มีรายชื่อผลิตผลงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2555
2. การคัดเลือกหลักฐานเชิงประจักษ์ (Selection criteria)
คณะกรรมการสังเคราะห์งานวิจัยทำการคัดเลือกผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์
ต่อไปนี้
2.1 เกณฑ์การคัดเลือกเข้า (Inclusion criteria)
2.2.1
เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง
หรือกึ่งทดลองที่ทดสอบประสิทธิผลการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
2.2.2
เป็นงานวิจัยเชิงพรรณนาที่อธิบาย
หรือทำนายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
2.2.3 เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
3. การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
(Data collection and Data analysis)
การรวบรวมข้อมูล
เป็นขั้นตอนการนำผลงานวิจัยที่ผ่านหลักเกณฑ์การคัดเลือกในข้อ 2 มาตรวจสอบ ประเมินคุณภาพความน่าเชื่อถือ
วิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็งของงานวิจัย
ผลงานวิจัยเรื่องใดที่ผ่านการประเมินคุณภาพจะถูกนำไปสังเคราะห์องค์ความรู้และจัดทำข้อเสนอแนะ
โดยมีลำดับขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
3.1 ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกในข้อ 2 ตามหลักเกณฑ์การทบทวนผลงานวิจัยและการประเมินคุณภาพงานวิจัยของ
Joanna Brigg Institute (JBI) ตามแบบฟอร์มการประเมินคุณภาพงานวิจัยเชิงทดลอง
และงานวิจัยเชิงพรรณนาโดยกำหนดให้มีผู้ประเมินคุณภาพงานวิจัย 2 คน
ดำเนินการอ่านและประเมินคุณภาพผลงานอย่างเป็นอิสระ
แต่ถ้าเกณฑ์การประเมินคุณภาพข้อใดผู้ประเมินทั้งสองคนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จะนำข้อคิดเห็นนั้นมาอภิปรายร่วมกันในที่ประชุมคณะอนุกรรมการสังเคราะห์งานวิจัยอีกครั้ง
3.2 นำเสนอผลการประเมินคุณภาพงานวิจัยจากหลักฐานเชิงประจักษ์ในที่ประชุมคณะอนุกรรม
การสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัย
จากนั้นคัดเลือกผลงานวิจัยที่มีคุณภาพเข้าสู่กระบวนการสกัดข้อมูลเพื่อใช้เป็นองค์ความรู้
3.3 คณะอนุกรรมการสังเคราะห์งานวิจัยร่วมกันสกัดข้อมูลจากผลงานวิจัยที่ผ่านการคัดเลือกโดยบันทึกข้อมูลลงในแบบฟอร์มวิเคราะห์งานวิจัย
ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์ การออกแบบการวิจัย
เครื่องมือการวิจัยหรือวิธีการทดลอง และผลการวิจัยที่ตอบปัญหาการวิจัย
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย จุดอ่อน-จุดแข็งและนำข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์งานวิจัยมาใส่ในตารางข้อเสนอแนะ
(Recommendation tables)
3.4 จัดทำข้อเสนอแนะ (Recommendations) ที่เป็นข้อค้นพบจากการสกัดผลงานวิจัยด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และระบุระดับความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัยที่ใช้เป็นหลักฐานในการจัดทำข้อเสนอแนะ
โดยใช้เกณฑ์กำหนดระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐาน (Joanna Brigg
Institute, 2008) ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1ระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐาน
(Joanna Brigg Institute, 2008)
ระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐาน
|
รายละเอียดหลักฐาน
|
1
|
Meta-analysis (with homogeneity) of experimental studies (e.g.,
RCT with concealed randomization) OR One or more large experimental
studies with narrow confidence intervals
|
2
|
One or more smaller RCTs with wider confidence intervals OR
Quasi-experimental studies (without randomization)
|
3
|
a. Cohort studies (with control group)
b. Case-controlled study
c. Observational studies (without control group)
|
4
|
Expert opinion, or physiology bench research, or consensus
|
3.5 วิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็ง หรือประเด็นปัญหาวิจัย
ที่สามารถนำไปกำหนดทิศทางการพัฒนา การผลิตผลงานวิจัยที่ตอบสนองยุทธศาสตร์ของวิทยาลัย
และกำหนดประเด็นการสังเคราะห์ความรู้เผยแพร่ต่อสาธารณชนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อไป
3.6 นำเสนอข้อค้นพบจากการสังเคราะห์รายงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ข้อเสนอแนะวิธีการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อที่ประชุมคณะกรรมการสังเคราะห์ความรู้ของวิทยาลัยเพื่อพิจารณาความชัดเจนและความเป็นไปได้ในการนำข้อเสนอแนะไปใช้ในการปฏิบัติงานและเผยแพร่สู่สาธารณชน
3.7
นำเสนอจุดอ่อนและจุดแข็งที่ค้นพบจากการสังเคราะห์รายงานวิจัยครั้งนี้
ให้ที่ประชุมคณะกรรมการสังเคราะห์ความรู้
ร่วมพิจารณากำหนดแนวทางการพัฒนางานวิจัยของวิทยาลัยและพัฒนาการผลิตผลงานวิชาการของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ 1) จำนวนผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
2) ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดการเรียนการสอน 3) จุดอ่อนและจุดแข็งของงานวิจัย และ 4) แนวทางการพัฒนางานวิจัย
เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมอาจารย์ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรีต่อไป
ผลการดำเนินงาน
(Results)
การนำเสนอผลการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยสาระสำคัญ
4 ประการ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. จำนวนผลงานวิจัย
จากการสืบค้นผลงานวิจัยที่ดำเนินการโดยผู้วิจัยของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี ในประเด็นการจัด
การเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
และได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ หรือ
เผยแพร่ในห้องสมุดของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี และวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
ระหว่าง ปี พ.ศ. 2552-2555 พบว่า
มีผลงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้อง จำนวนทั้งสิ้น 8
เรื่อง แบ่งเป็น งานวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental studies) 2 เรื่อง งานวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive study) จำนวน
5 เรื่อง และปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom action research) 1 เรื่อง ดังรายชื่อต่อไปนี้
1. ความคิดเห็นของนักศึกษา อาจารย์นิเทศ และผู้รับบริการต่อการฝึกภาคปฏิบัติการพยาบาลชุมชนด้วย หัวใจความเป็นมนุษย์
2. ทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยเครือข่ายภาคกลาง 2
3. พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลของผู้สำเร็จการศึกษา
หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
4. ผลของโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะและความสุขของนักศึกษาพยาบาล
5. ผลการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถามของนักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี
6. ปัจจัยทำนายสมรรถนะของนักศึกษาพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาล
โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
7. ความสามารถและทัศนคติในการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของนักศึกษา
พยาบาลศาสตรบัณฑิต
8. วิจัยในชั้นเรียน: การพัฒนาความสามารถการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิง ประจักษ์ ของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต
2. ผลการวิเคราะห์งานวิจัย
จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยโดยคณะกรรมการสังเคราะห์ความรู้จากงานวิจัย
ตามเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัยที่ใช้เป็นหลักฐาน
พบว่ามีงานวิจัยกึ่งทดลองจำนวน 2 เรื่อง ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อถือ
จากจำนวนผลงานวิจัยทั้งหมด 8 เรื่อง แต่เนื่องจากผลงานวิจัยอีก 6 เรื่อง คณะกรรมการเห็นว่าเป็นงานวิจัยที่น่าสนใจ
และมีรายละเอียดที่ควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป จึงนำเสนอไว้ ดังรายละเอียดในตารางที่
2
ตารางที่
2 หลักฐานงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพ
และแนวทางพัฒนา
ชื่อรายงานวิจัย การพัฒนาความสามารถการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่
2
ปีที่เผยแพร่ 2554
ชื่อผู้วิจัย ทัศนีย์ เกริกกุลธร
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจากรายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument/
Intervention
|
|||||
เพื่อพัฒนาความสามารถการบริการสุขภาพผู้สูงอายุด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่
2 ที่ฝึกปฏิบัติการพยาบาลผู้สูงอายุรายวิชาสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วย
|
Quasi
experimental 1 group pre-post test
|
นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่
2 ภาคเรียนที่ 3/2554 ระหว่างวันที่ 20 ก.พ. 9 มี.ค. 55 จำนวน 8 คน
|
1.
โปรแกรมระยะเวลา 3 สัปดาห์
-
ปฐมนิเทศแนวคิดการให้บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
-
ปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ใช้Nursing
process
2.แบบประเมินความสามารถในการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์
32 ข้อ
|
1.ความสามารถในการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยรวมและรายด้าน
เพิ่มขึ้น จากระดับปานกลางเป็นระดับมาก
- ด้านความเข้าใจผู้รับบริการ
- ด้านระบุความต้องการ/ปัญหาของผู้รับบริการ
- ด้านการวางแผนแก้ปัญหา
- ด้านปฏิบัติการตอบสนองความต้องการแก้ปัญหา
- ด้านการสะท้อนคิดพิจารณา
|
- ควรจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้นักศึกษารายวิชาภาคปฏิบัติตามแผนนิเทศที่ประกอบด้วย
5 ขั้นตอนตามกรอบแนวคิดกระบวนการพยาบาล
-
ควรปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการวางแผนแก้ปัญหาของนักศึกษา
- ควรเตรียมความพร้อมนักศึกษาโดยฝึกการใช้คำถามเจาะลึกเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ตามสภาพจริง
-
ฝึกทักษะให้ไวต่อการรับรู้ตามคำบอกเล่าของผู้รับบริการ
|
จุดแข็ง
- มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าหลังการทดลองนักเรียนมีการพัฒนาเกี่ยวกับการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์
โดยใช้แบบวัด 32 ข้อ เป็นรูปธรรม
-
กรอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนครอบคลุม Humanize care, Evidence best และ Nursing
process จะทำให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งมีกระบวนการต่อเนื่องเป็นระบบ
จุดอ่อน
-
กลุ่มตัวอย่างน้อยไป
-
ขาดความเชื่อมโยงในการชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในขั้นตอนการวางแผนการหรือ/ปฏิบัติการพยาบาล
|
- ควรทำการวิจัยต่อเนื่องโดยใช้ Repeat
Intervention ในกลุ่มพยาบาล หรือนักเรียนวิชาอื่นๆ
- ปรับให้เป็น two group pre – post test กลุ่มละ
30 คน
- ควรเพิ่มreflection ของนักศึกษาและผู้ป่วยที่เข้าโครงการด้วย
-
ควรให้ครูนิเทศประเมินความสามารถโดยใช้แบบสอบถามเดียวกับที่นักศึกษาใช้
- หาความสัมพันธ์ของความสามารถตามการรับรู้ของครูกับนักศึกษาที่เข้าโครงการ
|
ชื่อรายงานวิจัย
ผลของโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะและความสุขของนักศึกษาพยาบาล
ปีที่เผยแพร่ 2552
ชื่อผู้วิจัย ศักดิ์มงคล เชื้อทอง จีราภรณ์ ชื่นฉ่ำ นัยนา ภูลม และ พัชนียา เชียงตา
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
1.เพื่อเปรียบเทียบความมีจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะจากประสบการณ์จริง
2.เพื่อเปรียบเทียบความสุขของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะจาก
|
กึ่งทดลอง
(Quasi-experimental design:
one group pre-post test)
|
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรีจำนวน 72 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
(Purposive
random sampling )
|
Instrument
-
แบบสอบถามเกี่ยวกับความมีจิตสาธารณะของสถาบันพระบรมราชชนก
-แบบวัดความสุขของกรมสุขภาพจิตตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและ
หาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามโดยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ
.95 และ.85 ตามลำดับ
|
1.ระดับคะแนนความมีจิตสาธารณะของกลุ่มตัวอย่างหลังเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะในโครงการ
“วพบ.สระบุรี
สร้างสรรค์สิ่งดีเพื่อสังคม ”สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.5
2.ระดับคะแนนของความสุขของกลุ่มตัวอย่างหลังเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะในโครงการ
“วพบ.สระบุรี
สร้างสรรค์สิ่งดีเพื่อสังคม ”สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.5
|
1.สถาบันการศึกษาควรจัดกิจกรรมให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากประสบ
การณ์จริงด้านจิตสาธารณะอย่างต่อ
เนื่องและพัฒนานักศึกษาให้มีจิตสาธารณะต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
2.ควรให้ความสำคัญกับการสร้างจิตสา
ธารณะของนักศึกษา โดยบูรณาการกับรายวิชาที่สามารถบูรณาการได้ เพื่อ
|
จุดแข็ง
-
จุดอ่อน
-กลุ่มเป้าหมาย จำนวนน้อย (72 คนจาก 405 คน)
- กลุ่มเป้าหมายเป็น
กลุ่มที่มีจิตสาธารณะเดิม
-โปรแกรมจิตสาธารณะมี
2 รูปแบบ ควรมีการเปรียบเทียบผลของโปรแกรมจิตสาธารณะ
- ควรนำผลการ
|
1.สถาบันการศึกษาควรจัดให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้านจิตสาธารณะอย่างต่อเนื่องและพัฒนานักศึกษาให้มีจิตสาธารณะต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป
2.ควรให้ความสำคัญกับการสร้างจิตสาธารณะของนักศึกษาโดยบรรจุลงในรายวิชา
เพื่อสนับสนุนให้
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
ประสบการณ์จริง
|
|
|
Intervention
โปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะจากประสบการณ์จริงในโครงการ
“วพบ.สระบุรี
สร้างสรรค์สิ่งดีเพื่อสังคม
|
สนับสนุนให้นักศึกษามีพัฒนาการด้านจิตสารณอย่างต่อเนื่อง
3.ควรมีการพัฒนาโปรแกรมการพัฒนาจิตสาธารณะ
|
ทดลองความมีจิตสาธารณะในด้านที่มีคะแนนสูงมาการอภิปรายผล
- ไม่ผลข้อมูลผลการทดลองการวัดความสุขและแบบวัดความสุข
|
นักศึกษาได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
3.ควรมีการพัฒนาโปรแกรมพัฒนาจิตสาธารณะให้เป็นรูปธรรมหรือมาตรฐานยิ่งขึ้น
เพื่อสะดวกต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานักศึกษา
|
ชื่อเรื่องวิจัย ทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลในวิทยาลัยพยาบาลเครือข่ายภาคกลางสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสุข
ปีที่เผยแพร่ 2555
ชื่อผู้วิจัย สุนีย์รัตน์ บุญศิลป์ ประกริต รัชวัตร์ และสุรางค์ เปรื่องเดช
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument/
Intervention
|
|||||
1.เพื่อศึกษาทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
วิทยาลัยพยาบาลเครือข่ายภาคกลาง สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
2.เพื่อเปรียบเทียบทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลทุกชั้นปีหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
วิทยาลัยพยาบาลเครือข่ายภาคกลาง สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
|
การวิจัยเชิงพรรณนา
(Descriptive research)
|
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1
ประชากรใน
การศึกษา
ครั้งนี้
คือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้น
ปีที่
1-4 ที่ศึกษาอยู่ในวิทยาลัยพยาบาลเครือข่ายภาคกลาง 1 และ 2 สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข
ในปีการศึกษา 2554
1.2
กลุ่มตัวอย่าง
ได้จากการสุ่มอย่างง่าย
(simple random sampling)โดยเริ่มจากการสุ่มตัวแทนรายชื่อวิทยาลัยที่สังกัดเครือข่ายภาคกลาง
1 และ 2 ซึ่งใช้สัดส่วน 1:2 จะได้จำนวนวิทยาลัยทั้งหมด 6 แห่ง
โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างแต่ละวิทยาลัยจำนวน 50 คน
จากนั้นทำการจับฉลากเลขที่ของนักศึกษาพยาบาลทุกชั้นปี แยกตามชั้นปี ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจำนวน 352 คน
|
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามจำนวน
1 ชุดแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล
แบบสอบถามทัศนคติเชิงจริยธรรม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามโดยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของ
ครอนบาคได้ .83
|
1.นักศึกษาพยาบาลทุกชั้นปีมีทัศนคติเชิงจริยธรรมด้านความยุติธรรม ด้านความ
อุตสาหะ
ด้านความมีระเบียบวินัยและด้านความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ในระดับดี ส่วนทัศนคติเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ
ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความสามัคคี ด้านความเมตตากรุณาและด้านความเสียสละอยู่ในระดับปานกลางโดยนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 4
มีค่าเฉลี่ยทัศนคติเชิงจริยธรรมโดยรวมสูงกว่าชั้นปีอื่น
2. นักศึกษาพยาบาลทุกชั้นปีมีทัศนคติเชิงจริยธรรมแตกต่างกันในด้านความซื่อสัตย์
ด้านความสามัคคี
ด้านความเมตตากรุณา ด้านความอุตสาหะและด้านความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ทัศนคติเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ
ด้านความยุติธรรม ด้านความมีระเบียบวินัยและด้านความเสียสละ
ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
|
1.ควรส่งเสริมและปลูกฝังจริยธรรมให้แก่นักศึกษาในทุกระดับชั้นปี
เพื่อพัฒนาให้นักศึกษามีทัศนคติเชิงจริยธรรมทั้ง 9 ด้านได้แก่
ด้านความรับผิดชอบ
ด้านความยุติธรรม
ด้านความซื่อสัตย์
ด้านความสามัคคี ด้านความเมตตากรุณา ด้านความอุตสาหะ
ด้านความมีระเบียบวินัย ด้านความมีเสียสละ ด้านความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ให้อยู่ในระดับดี
2.ควรพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการสอดแทรกจริยธรรมด้านความเมตตากรุณาและด้านความเสียสละในการเรียนการสอนให้มากขึ้นในทุกระดับชั้นปี
|
จุดแข็ง
1.เลือกใช้สถิตที่เหมาะสม
2.เครื่องมือมีความน่าเชื่อถือตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค.83
3.วัตถุประสงค์การวิจัยชัดเจนและได้ผลลัพธ์ตามที่กำหนด
จุดอ่อน
1.การคำนวณวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ดี
จำนวนกลุ่มตัวอย่างน้อยไปและไม่ได้แสดงสูตรการคำนวณ
2.ไม่ได้กำหนดสัดส่วนในการเลือกกลุ่มตัวอย่างของแต่ละวิทยาลัย
และแต่ละชั้นปี
|
1.
ควรกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากสูตรการคำนวณที่ได้รับการยอมรับในงานวิจัยเชิงบรรยาย
2. ควรกำหนดสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละวิทยาลัยและแต่ละชั้นปีตามจำนวนประชากรที่ชัดเจน
3.
ควรเขียนอธิบายประเด็นปัญหาของการวิจัยให้ชัดเจนและมีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุน
4.
เพื่อเป็นการต่อยอดให้งานวิจัยนี้มีคุณค่าต่อการพัฒนาบัณฑิต ควรมีวิจัยเพิ่มเติมในประเด็นต่อไปนี้
4.1สภาพการส่งเสริมทัศนคติเชิงจริยธรรมที่แต่ละวิทยาลัยดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
4.2ศึกษาปัจจัยที่ผลต่อทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษา
4.3พัฒนารูปแบบการส่งเสริมจริยธรรมของนักศึกษา
|
ชื่อรายงานวิจัย ความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาล อาจารย์นิเทศและผู้รับบริการต่อการฝึกปฏิบัติการพยาบาลชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ปีที่เผยแพร่ 2554
ชื่อผู้วิจัย ประไพ กิตติบุญถวัลย์และคณะ
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก
รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument/
Intervention
|
|||||
1.เพื่อศึกษาคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามการรับรู้ของนักศึกษาพยาบาล
2.เพื่อศึกษาคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามความคิดเห็นของอาจารย์
3.เพื่อศึกษาคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามความคิดเห็นของผู้รับบริการ
4.ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาต่อปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของนักศึกษาพยาบาล
|
การวิจัยเชิงพรรณนา(Descriptive
research)
|
1.นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรีจำนวน 78 คน
2.อาจารย์นิเทศจำนวน
10 คน
3.ผู้รับบริการที่เป็นกรณีศึกษาของนักศึกษาจำนวน
78 คน
|
เครื่องมือ 4 ชนิดคือ
1.แบบสอบถามการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามการรับรู้ของนักศึกษาพยาบาลค่าความเชื่อมั่น
สัมประสิทธิ์อัลฟาเท่ากับ 0.86
2.แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้รับบริการต่อการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของนักศึกษาพยาบาล
ค่าความเชื่อมั่น
สัมประสิทธิ์อัลฟาเท่ากับ 0.83
3.แบบสอบถามความคิดเห็นของอาจารย์ต่อการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของนักศึกษาพยาบาล
ค่าความเชื่อมั่น
สัมประสิทธิ์อัลฟาเท่ากับ 0.93
4. แนวทางการสนทนากลุ่มนักศึกษาเกี่ยวกับความคิดเห็นของนักศึกษาต่อปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
|
1. การปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามการรับรู้ของนักศึกษาพยาบาล
อาจารย์และผู้รับบริการอยู่ในระดับมาก
(M = 4.15, SD = 0.33, M = 4.11, SD = 0.40 และ M = 4.32, SD = 0.46 ตามลำดับ)
2.การปฏิบัติที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดมีความสอดคล้องกันทั้ง 3 กลุ่มตัวอย่างคือ ด้านจิตบริการที่ดี โดยการปฏิบัติการพยาบาลที่อ่อนโยน
มีเมตตา ใส่ใจความรู้สึกและดูแลเหมือนญาติ
3.การปฏิบัติที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำของผู้รับบริการคือด้านการรวบรวมข้อมูลตามสภาพจริงโดยไม่ตัดสินผู้รับบริการส่วนการรับรู้ของน.ศ.และความคิดเห็นของอาจารย์มีคะแนนต่ำสุดในด้านการวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสมกับสภาพจริงของวิถีชีวิตครอบครัว
ชุมชน (M = 3.96, SD = 0.47 และM = 3.92, SD = 0.50)
4. ความคิดเห็นของน.ศ.ต่อปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติการพยาบาลที่เน้นชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
3 อันดับแรกคือแบบอย่างของอาจารย์นิเทศ
กิจกรรมการฝึกแบบครอบครัวกรณีศึกษาและการเรียนรู้การปลูกฝังจากครอบครัวนักศึกษา
|
1.ด้านการพัฒนาหลักสูตร
ควรมีนโยบายการพัฒนาอาจารย์นิเทศในการปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา
2.ด้านการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน
2.1ควรส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ในครอบครัวกรณีศึกษาโดยพิจารณาครอบครัวที่มีความทุกข์ยากและมีความพร้อมในการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
2.2 จัดเวทีสำหรับน.ศ.แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
3.ด้านการวิจัยควรมีการวิจัยผลกระทบต่อสังคมจากการปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจ ความเป็นมนุษย์
|
จุดแข็ง
1.เป็นวิจัยที่มีความน่าสนใจตอบสนองต่ออัตลักษณ์สถาบัน
2.กลุ่มตัวอย่างครอบคลุมทั้งน.ศอาจารย์และผู้รับบริการ
3.มีการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสนทนากลุ่มเพิ่มเติมจากข้อมูลเชิงปริมาณ
จุดอ่อน
1.ไม่มีการกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเข้ากลุ่มตัวอย่างเช่นคุณลักษณะอาจารย์กลุ่มผู้รับบริการ
2.กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วม focus group เป็นอาสาสมัครซึ่งอาจจะมีทัศนคติที่ดีอาจเกิด
biasควรเป็นการสุ่มหรือจัดกลุ่มที่หลากหลาย
3.ผู้ประเมินคะแนนเป็นอาจารย์นิเทศในแต่ละกลุ่มซึ่งมีความแตกต่างกัน
4.ขาดข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างอาจารย์และผู้รับบริการ
5.รายละเอียดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลไม่ชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้รับบริการ หากน.ศเก็บด้วยตนเองอาจจะทำให้เกิดอคติ
6.ไม่ได้รายงานคุณภาพเครื่องมือหลังการวิจัย
|
.1.พัฒนาแบบสอบถามให้มีข้อคำถามที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์สถาบัน
(SAeP)
2. พัฒนาข้อคำถามในแบบสอบถามของผู้รับบริการให้มีข้อความที่สั้นกระทัดรัดเข้าใจง่าย
3.ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการฝึกปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจ
ความเป็นมนุษย์ด้วยการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพล
4.พัฒนารูปแบบการพัฒนาการเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่ส่งเสริม
การปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์
5.วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มน.ศ. อาจารย์นิเทศและผู้รับบริการด้วยสถิติ ANOVA
6. เพิ่ม SAePในกรอบแนวคิดและเครื่องมือวิจัย
|
ชื่อรายงานวิจัย ความสามารถและทัศนคติในการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของนักศึกษาพยาบาล
ปีที่เผยแพร่ 2554
ชื่อผู้วิจัย ปานทิพย์
ปูรณานนท์ และ ทัศนีย์ เกริกกุลธร
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument
/ Intervention
|
|
|
|
|
เพื่อเปรียบเทียบความสามารถและทัศนคติในการปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการเรียนการสอนภาคปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ก่อนการฝึกภาคปฎิบัติ
หลังการฝึกภาคปฎิบัติครั้งที่ 1 ครั้งที 2 และครั้งที่ 3
|
พรรณนาเชิงเปรียบเทียบ
(Comparative descriptive design)
|
ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ปี
3 พ.ศ.2548
|
มีทั้งหมด
2 แบบ
1.แบบวัดความสามรถในการปฏิบัติการโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
2.แบบวัดทัศนคติในการปฏิบัติการโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
|
1.
ความสามารถของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการเรียนการสอนภาคปฏิบัติที่เน้น EBN
ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นในระยะก่อนเรียน
และเพิ่มขึ้นภายหลังการเรียนในแต่ละระยะ
2.
ทัศนคติของนักศึกษาพยาบาลที่ได้รับการเรียนการสอนภาคปฏิบัติที่เน้น EBN
ค่อยๆ ดีขึ้นภายหลังการเรียนในแต่ละระยะ
|
1.
การจัดฝึกปฏิบัติการ EBN อย่างต่อเนื่องมีผลให้นักศึกษามีความสามารถและเจตคติเพิ่มขึ้น
2.
ข้อจำกัดการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างอาจจำคำตอบของแบบสอบถามได้จึงอาจทำให้คะแนนความสามารถและทัศนคติมีค่าสูงขึ้น
|
จุดอ่อน
1. เครื่องมือไม่สามารถวัดกระบวนการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้ครบวงจรเนื่องจากไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติและการประเมินผล
2.ควรระบุค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
53 คน
|
-
ติดตามปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถและทัศนคติของนักศึกษาภายหลังสำเร็จการศึกษา
โดยปรับเครื่องมือให้วัดสมรรถนะได้อย่างครบวงจรของ EBN
|
ชื่อรายงานวิจัย ปัจจัยทำนายสมรรถนะของนักศึกษาพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ปีที่เผยแพร่ 2554
ชื่อผู้วิจัย ปานทิพย์
ปูรณานนท์ และ ทัศนีย์ เกริกกุลธร
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument
/ Intervention
|
|
|
|
|
1. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านนักศึกษา(ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาคทฤษฎี
และทัศนคติต่อการเรียนภาคปฏิบัติ EBN) การรับรู้ต่อประสิทธิภาพการสอนและบุคลิกภาพของอาจารย์
และการรับรู้สิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติกับสมรรถนะ EBN ของนักศึกษา
2. ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยด้านนักศึกษา ได้แก่ เกรดรายวิชา ทัศนคติต่อการเรียนภาคปฎิบัติ
การรับรู้ต่อพฤติกรรมการสอนทางคลินิกของอาจารย์ และบุคลิกภาพของอาจารย์
และการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติในการทำนายสมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
|
การหาความสัมพันธ์เชิงทำนาย
(Correlation predictive research)
ประชากร
คือ นศ.พยาบาลชั้นปีที่ 3 และ 4 จำนวน 301 คน
|
กลุ่มตัวอย่าง
นักศึกษาชั้นปีที่
3 และ ชั้นปีที่ 4 วพบ.
สระบุรีจำนวน 111 คนได้มาโดยการสุ่มแบบ Stratified
random sampling และ simple random sampling
Power
analysis .80
Alpha = .05
effect size
.13
|
เครื่องมือ
1. แบบบันทึกส่วนบุคคล
2.แบบวัดสมรรถนะในการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (5-rating
scale) 8 ข้อ reliability .88 (N=30)
3. ทัศนคติการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (5-rating
scale) 13 ข้อ
reliability .91 (N=30)
4.การรับรู้ต่อประสิทธิภาพการสอนและบุคลิกภาพของอาจารย์ (5 rating
scale) 40 ข้อ reliability .96
(N=30)
5.
การรับรู้สิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติ (5 rating scale) 12 ข้อ reliability .91 (N=30)
|
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาคทฤษฎีวิชาวิจัยทางการพยาบาล (r = .46) ทัศนคติต่อการเรียนภาคปฏิบัติ EBN) (r = .
36) การรับรู้ต่อประสิทธิภาพการสอนและบุคลิกภาพของอาจารย์ (r = . 31) และการรับรู้สิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติ (r = . 37) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติความสัมพันธ์กับสมรรถนะ
EBN ของนักศึกษา
2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาคทฤษฎี การรับรู้สิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติ
ทัศนคติต่อการเรียนภาคปฏิบัติ EBNประสิทธิภาพการสอนและบุคลิกภาพของอาจารย์ สามารถทำนายสมรรถนะ EBN ของนักศึกษาได้ร้อยละ 39.6
|
ในการพัฒนานักศึกษาให้มีสมรรถนะในการปฏิบัติโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์อาจารย์ควรดำเนินการดังนี้
1. จัดสิ่งแวดล้อมในการเรียนภาคปฏิบัติทั้งด้านบรรยากาศและทรัพยากรการเรียนรู้
2. ปลูกฝังทัศนคติต่อการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ
3. พัฒนาอาจารย์ให้มีความสามารถในการเตรียมการสอน การดำเนินการสอน
และการประเมินผล รวมทั้งพัฒนาบุคลิกภาพของอาจารย์
4. ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะ EBN ควรนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาใช้ในการพิจารณาออกแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละกลุ่ม
|
จุดแข็ง
1. ข้อค้นพบจากการวิจัยเป็นประโยชน์ที่จะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการเรียนการสอน
EBN
2. กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนเพียงพอและได้มาโดยการสุ่ม
จุดอ่อน
1 ไม่แน่ใจว่ากลุ่มตัวอย่างสามารถเป็นตัวแทนประชากรที่ดีหรือไม่เพราะถึงแม้ใช้วิธีการสุ่มแต่ยังไม่แน่ใจว่าจำนวนตัวอย่างเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของประชากรม่เพราะไม่ได้บอกที่มาของEffect
size ที่นำมาคำนวณและไม่ทราบ Effect size แต่ละคู่ซึ่งสามารถคำนวณได้ในเบื้องต้นจากการทดลองใช้เครื่องมือ
2. การวัดสมรรถนะเป็นการวัดในเชิงอัตนัยของแต่ละบุคคลและข้อคำถามในการวัดไม่ครบถ้วนตามกระบวนการ
EBN คือ ไม่ได้วัดสมรรถนะในการนำไปปฏิบัติและการติดตามตรวจสอบผล
3.ไม่ได้ระบุกรอบแนวคิดทางทฤษฎีที่ชัดเจนว่ามาจากทฤษฎีใด
|
ในการทำวิจัยต่อไปควรจะ
1. แสดง Effect size ในแต่ละคู่ว่ามีขนาดเท่าใดเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินความเพียงพอของกลุ่มตัวอย่าง
2. ควรเขียนสมการทำนายความ
สามารถให้เห็นชัดเจนว่าตัวแปรแต่ละตัวมีอิทธิพลต่อสมรรถนะมากน้อยเพียงไร
3. ควรรายงานค่า reliability ของเครื่องมือทุกชุดจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน
111 คน
|
ชื่อรายงานวิจัย พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลของผู้สำเร็จการศึกษา
หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
ปีที่เผยแพร่ 2550
ชื่อผู้วิจัย วารุณี มีเจริญ และศักดิ์มงคล เชื้อทอง
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก
รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument / Intervention
|
|
|
|
|
1.ศึกษาพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลของผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
วิทยาลัยพยาบาลในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
|
การวิจัยเชิงพรรณนา
|
ผู้สำเร็จการศึกษา
หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตที่จบการศึกษาในปีการศึกษา 2549
(หลังจบการศึกษาไปแล้วประมาณ 4 เดือน)จำนวน 382คน
|
Instrument
แบบสอบถามพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาล จำนวน 65
ข้อ จำแนกออกเป็น 10 ปัจจัย
|
1.ระดับพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลโดยรวมอยู่ในระดับสูง
(M = 4.43, SD = 0.43)
และรายปัจจัยทุกปัจจัยอยู่ในระดับสูงทั้ง 10ปัจจัย ได้แก่
1) การสร้างค่านิยมเห็นประโยชน์ผู้อื่นและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
2) การสร้างศรัทธาและความหวัง
3) การไวต่อความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น
4) การสร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
|
1.ผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมากกว่าหรือเท่ากับ
3.01 มีพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลในด้านการช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลน้อยกว่าผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรน้อย
|
จุดแข็ง
1.ตัวแปรที่วัดคือพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลตามแนวคิดทฤษฎีการดูแลระหว่างบุคคลของวัตสันมีความเป็นสากล
2.เครื่องมือมีความน่าเชื่อถือตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค.98
|
ศึกษาพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลตามการรับรู้ของผู้รับบริการ
อาจารย์นิเทศ และพยาบาล
พี่เลี้ยง
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก
รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument / Intervention
|
|
|
|
|
2.เปรียบเทียบพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลของผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร
สถาบันที่สำเร็จการศึกษา และสถานที่ปฏิบัติงาน
|
|
|
|
5) การส่งเสริมและการยอมรับการแสดงออก
6) การใช้กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรค์
7) การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลในกระบวนการเรียนการสอน
8) การประคับประคองสนับสนุนและแก้ไขสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพ
จิตสังคมและจิตวิญญาณ
9) การช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล
10) การเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณในการมีชีวิตอยู่
โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงสุด 3
อันดับแรกคือ1) ช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล
|
กว่าหรือเท่ากับ 3.00 นั้นวิทยาลัยควรให้ความสำคัญและส่งเสริมให้นักศึกษาที่เป็นคนเก่งมีพฤติกรรมเอื้ออาทรให้สูงขึ้น
|
และค่าความเที่ยงจำแนกตามรายด้าน 10 ด้าน อยู่ระหว่าง .76-.91
3.วัตถุประสงค์การวิจัยชัดเจนและได้ผลลัพธ์ตามที่กำหนด
จุดอ่อน
1.พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกในขณะปฏิบัติการพยาบาลควรวัดตามการรับรู้ของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการการพยาบาล การศึกษาครั้งนี้วัดตามการรับรู้
|
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก
รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument / Intervention
|
|
|
|
|
|
|
|
|
2) ค่านิยมเห็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
และ 3) การเสริมสร้างพลังจิตวิญาณในการมีชีวิตอยู่
2.ผู้สำเร็จการศึกษาที่จบจากสถาบันการศึกษาเขตภาคกลางและภาคอื่นๆมีพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.001
3.ผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรแตกต่างกันมีพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลโดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05แต่เมื่อพิจารณารายปัจจัยพบว่าผู้สำเร็จการศึกษามีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร
|
|
ของผู้สำเร็จการศึกษาที่กลับไปปฏิบัติงานได้ 4
เดือน
เป็นการประเมินตนเองตามการรับรู้ของผู้สำเร็จการศึกษาเองผลการวิจัยที่ได้อาจมีการลำเอียงตามธรรมชาติ
|
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก
รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
|
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument / Intervention
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แตกต่างกันมีพฤติกรรมเอื้ออาทรในปัจจัยด้านการช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05 ผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรน้อยกว่าหรือเท่ากับ
3.00 มีระดับพฤติกรรมเอื้ออาทรในปัจจัยการช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลสูงกว่าผู้สำเร็จการศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรมากกว่าหรือเท่ากับ
3.01
4.ผู้สำเร็จการศึกษาที่ปฏิบัติงานในสถานที่แตกต่างกันมี
พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลโดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
|
|
|
|
ชื่อรายงานวิจัย ผลการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถาม
ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี
ปีที่เผยแพร่ 2552
ชื่อผู้วิจัย พอเพ็ญ ไกรนราและคณะ
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
1.ประเมินการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถาม
2.ศึกษาระดับการตั้งคำถาม
3.ศึกษาความสุขในการเรียนของนักศึกษา
|
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
(Classroom Action Research)
เพื่อพัฒนาสมรรถนะการตั้งคำถามและประเมินการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถาม
|
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่
1 จำนวน 80 คน
(ประชากรตัวอย่าง)
|
Intervention
ขั้นตอนการดำเนินการจัดการเรียนการสอน
4 ขั้นตอน ดังนี้
1)ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของนักศึกษาโดยใช้เครื่องมือ
2 ชุด คือแบบประเมินสมรรถนะการตั้งคำถามและแบบสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเรื่องการตั้งคำถามและแบบสำรวจความคิดเห็นของ
|
1.ความเหมาะสมจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถามประเด็นแรกด้านการพัฒนาบัณฑิต
เนื้อหาสาระมีความเหมาะสมระดับมาก 3 ลำดับแรก คือ
การสร้างจิตสำนึกต่อสังคมและจิตอาสา การกำหนดเป้าหมายทางการเรียน
การพัฒนาทักษะการฟัง การจดบันทึกและการเตรียมสอบ ความสุข กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมระดับมาก3
ลำดับแรก คือ การบูรณาการกิจกรรมจิตอาสากับกิจกรรมนักศึกษา การเปิด
|
1.ข้อเสนอเชิงนโยบาย
1.1
วิทยาลัยควรมีการพัฒนาทักษะการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องในชั้นปีอื่นๆ
และดำเนินการไปพร้อมกันทุกรายวิชา
โดยเฉพาะรายวิชาที่มีการเรียนเป็นกลุ่มย่อย
ทั้งนี้ทักษะการตั้งคำถามเป็นพื้นฐานการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ
|
จุดแข็ง
1.กำหนดกลุ่มตัวอย่าง
เป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 จำนวน 80 คน ซึ่งเป็นประชากรทั้งหมด
ทำให้สามารถพัฒนานักศึกษาทุกคนเท่าเทียมกัน
2.การจัดกระทำ (Intervention) การจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถามประกอบด้วย
4
|
1.
ควรมีการประเมินสมรรถนะการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที
1
หลังการเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบ
ว่าสมรรถนะการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่
2.ควรมีการวัดระดับการตั้งคำถามของนักศึกษาก่อนการเรียนรู้ เพื่อที่จะได้ทราบว่าการจัดการเรียนการสอนที่ให้กับ
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
|
|
|
นักศึกษาเรื่องการตั้งคำถาม
2)จัดการเรียนการสอน
โดยใช้ CIPPA
Model
3)ประเมินผลการเรียนรู้และความคิดเห็น
Instrument
มีจำนวน 3 ชุด
ดังนี้
1.แบบประเมินการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถามวัดระดับความคิดเห็นของนักศึกษา
2 ด้าน คือ1)ระดับความเหมาะสมของเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ต่อการพัฒนาบัณฑิต
|
โอกาสให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น และการเรียนรู้จากสื่อ
ภาพยนตร์/สารคดี ประเด็นที่สอง
ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ เนื้อหาสาระที่นำไปใช้ประโยชน์มากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ
การสร้างจิตสำนึกต่อสังคมและจิตอาสา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
และความสุข กิจกรรมการเรียนรู้ 3 ลำดับแรก คือ กิจกรรมจิตอาสาบูรณาการกับกิจกรรมนักศึกษา
กิจกรรมพันธมิตรตัวต่อ
กิจกรรมการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในกิจกรรมต่างๆในห้องเรียน
2.ระดับคำถามของนักศึกษาภายหลังการเรียนรู้
โดยอ่านบทความแล้วตั้งคำถาม พบว่า นักศึกษาสามารถตั้งคำถาม 6 ระดับ
รวม 480
|
1.2วิทยาลัยควรพัฒนาผู้สอนให้เป็นตัวแบบที่ดี โดยการฝึกฝน
เพื่อสามารถการให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อการพัฒนาทักษะการตั้งคำถามของนักศึกษา
2.ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย
2.1วิจัยพัฒนาโปรแกรมการฝึกตั้งคำถามสำหรับนักศึกษาที่ใช้ในชั้นเรียน
และนอกชั้นเรียน ให้มีความหลากหลาย
2วิจัยการใช้สังคมออนไลน์
เพื่อพัฒนาสมรรถนะการตั้งคำถาม
2.3วิจัยระยะยาวเพื่อติดตามระดับสมรรถนะการตั้งคำถามของ
|
ขั้นตอนที่ชัดเจนและในส่วนของออกแบบการเรียนการสอน
โดยใช้ CIPPA Model ซึ่งเป็นวิธีการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ได้เต็มความสามารถเหมาะสมจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะการตั้งคำถามของนักศึกษาพยาบาล
จุดอ่อน
1.เครื่องมือการวิจัยได้แก่ แบบสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์
เรื่อง การตั้งคำถามในชั้นเรียนไม่มีการระบุที่มาของ
|
นักศึกษาได้มีการพัฒนานักศึกษาในการตั้งคำถามในด้านใดเพื่อนำมาสู่การจัดการเรียนการสอนต่อไป
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
|
|
|
2)ระดับการนำเนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์
2.แบบวัดระดับคำถามของนักศึกษาจำแนก
6 ระดับของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy, 2001) วัดระดับจำ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมินความคิดสร้างสรรค์
3.แบบวัดความสุขในการเรียนของนักศึกษา
แบบประเมินค่า
(Rating scale) 5 ระดับจากมากที่สุดถึงน้อยที่สุดตามแนวคิดการเรียนอย่างมีความสุข
26
|
คำถาม
ในระดับความเข้าใจจำนวนมากที่สุด รองมาเป็นระดับความจำ ระดับวิเคราะห์ ต่ำที่สุด
มี 13 คำถามที่ตัดออกเนื่องจากคำถามไม่สมบูรณ์และไม่ตรงกับเนื้อหาในบทความ
3.ระดับความสุขในการเรียนมี
6 ด้าน พบว่า นักศึกษามีความสุขในการเรียนอยู่ในระดับมาก โดย 3 ลำดับแรก คือ
สิ่งที่เรียนรู้มีความหมายและคุณค่าต่อการพัฒนานักศึกษาให้เป็นบัณฑิตและมนุษย์ที่สมบูรณ์
นักศึกษาได้ฝึกคิด แก้ปัญหา พิจารณาให้เหตุผล
และนักศึกษามีอิสระทางความคิดในการเรียนรู้
|
นักศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่
1 - 4
|
เครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพ
2.เครื่องมือในการประเมินการจัดการเรียนการสอน
ไม่ได้ระบุการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพ
3.การวิจัยไม่มีการวัดระดับการตั้งคำถามของนักศึกษาก่อนให้
intervention ทำให้ไม่ทราบว่ากิจกรรมที่ให้กับกลุ่มตัวอย่างช่วยในการพัฒนานักศึกษาในการตั้งคำถามจริงหรือไม่
|
|
วัตถุประสงค์การวิจัย
|
ระเบียบวิธีวิจัย
|
ผลลัพธ์การวิจัย
|
ข้อเสนอแนะจาก รายงานวิจัย
|
จุดแข็ง/จุดอ่อน
|
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนางานวิจัย
|
||
การออกแบบวิจัย
|
กลุ่มตัวอย่าง
|
Instrument /
Intervention
|
|||||
|
|
|
ข้อ คำถามปลายเปิด 2 ข้อ
มี 6 ด้าน1) การสร้างความรักความศรัทธา
2) เห็นคุณค่าของการเรียน 3) เปิดประตูสู่ธรรมชาติ
4) มุ่งมาดและมั่นคง 5)ดำรงรักษ์ไมตรีจิต6)
ชีวิตที่สมดุล
|
|
|
|
|
2.
ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความ
เป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
จากงานวิจัยกึ่งทดลอง
2 เรื่อง งานวิจัยเชิงพรรณนา 5
เรื่องและวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน 1 เรื่อง
ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินความน่าเชื่อถือของผลงานวิจัยที่ใช้เป็นหลักฐาน
คณะอนุกรรมการสังเคราะห์งานวิจัยได้นำข้อมูลจากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยมาสกัดเป็นองค์ความรู้และสรุปเป็นข้อเสนอแนะในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบด้วยข้อเสนอแนะ
3 ด้าน ได้แก่
การเตรียมความพร้อม วิธีการเรียนการสอน และการประเมินผล ดังรายละเอียดต่อไปนี้ (ตารางที่ 3)
ตารางที่ 3
ข้อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ข้อเสนอแนะ (Recommendation)
|
1. เตรียมความพร้อมก่อนการเรียน ได้แก่ การเตรียมนักศึกษา อาจารย์ และสิ่งแวดล้อม
|
1.1 เตรียมนักศึกษา
ก่อนการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
อาจารย์ควรเตรียมนักศึกษาดังนี้
·
เตรียมความรู้
ความเข้าใจในกระบวนการ การดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(หลักฐานระดับ 3C)
·
ปลูกฝังทัศนคติต่อการปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(หลักฐานระดับ 2)
|
1.2 เตรียมอาจารย์
ก่อนการจัดการเรียนการสอน EBN ควรเตรียมความพร้อมของอาจารย์ดังนี้
· เตรียมความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการ การดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (หลักฐานระดับ 4)
· เตรียมทักษะในการเรียนการสอนตามขั้นตอนของการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ทั้งในการเตรียมการสอน การดำเนินการสอน และการประเมินผล (หลักฐานระดับ
3C)
|
1.3 เตรียมสิ่งแวดล้อม
·
สร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการเรียนรู้ในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(หลักฐานระดับ 3C)
·
จัดเตรียมทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้หัวข้อการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เช่น
คอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล วารสาร (หลักฐานระดับ 3C)
|
2. วิธีการเรียนการสอน
|
·
อาจารย์ควรสอนภาคปฏิบัติโดยจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักศึกษาได้พัฒนาความสามารถในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ตามสภาพจริงโดยใช้กระบวนการพยาบาลเป็นแนวทางส่งเสริมการเรียนรู้
(หลักฐานระดับ 2)
·
พัฒนาทักษะผู้เรียนตามกระบวนการการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
ได้แก่ การตั้งคำถามโดยใช้ PICO model
การสืบค้นหลักฐาน การประเมินคุณภาพของหลักฐาน การตัดสินใจใช้หลักฐาน
การนำไปปฏิบัติ และการประเมินผลการปฏิบัติ (หลักฐานระดับ 2)
·
ควรพัฒนาทักษะการใช้กระบวนการ
การดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในทุกรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
(หลักฐานระดับ 3C)
|
3. การประเมินผล
|
การประเมินผลการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ
ในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์โดย
·
ประเมินความสามารถในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของผู้เรียนทุกขั้นตอนของกระบวนการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
(หลักฐานระดับ 2)
·
ให้ผู้เรียนประเมินสมรรถนะในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของตนเองด้วยแบบประเมินการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(หลักฐานระดับ 2)
·
ให้ผู้เรียนประเมินกระบวนการเรียนการสอนภาคปฏิบัติด้วยแบบประเมินประสิทธิภาพการสอน
และแบบสอบถามความต้องการของนักศึกษาเกี่ยวกับความต้องการการเรียนรู้ในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
(หลักฐานระดับ 4)
|
3.
จุดอ่อนและจุดแข็งของงานวิจัยเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความ
เป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัยในภาพรวมพบว่ามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
ในด้านจุดแข็งคือ การได้องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
โดยส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนของประชากร ได้มาโดยการสุ่ม นอกจากนี้มีการใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพในงานวิจัย
4 เรื่อง และได้ผลงานวิจัยที่ตอบวัตถุประสงค์การวิจัย
ในด้านจุดอ่อนพบว่า
การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ขนาดอิทธิพลยังไม่ชัดเจน รูปแบบการเขียนรายงาน ในงานวิจัยบางเรื่องยังขาดการการนำเสนอรายละเอียดที่ทำให้มั่นใจว่าเครื่องมือวิจัยมีคุณภาพจริง
ดังรายละเอียดในตารางที่ 4
ตารางที่ 4 จุดอ่อนและจุดแข็งของงานวิจัย
จุดแข็ง
|
จุดอ่อน
|
ประชากรและตัวอย่าง
1. กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนเพียงพอและได้มาโดยการสุ่ม
2. รายงานวิจัยบางเรื่องเป็นกลุ่มประชากรทั้งหมด
3. รายงานวิจัยบางเรื่องขาดข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างอาจารย์และผู้รับบริการ
|
ประชากรและตัวอย่าง
1.
การคำนวณวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ดี
จำนวนกลุ่มตัวอย่างน้อยไปและไม่ได้แสดงสูตรการคำนวณ
2. ไม่ได้กำหนดสัดส่วนในการเลือกกลุ่มตัวอย่างของแต่ละวิทยาลัย
และแต่ละชั้นปี
|
เครื่องมือวิจัย
1. เลือกใช้สถิติที่เหมาะสม
2.
เครื่องมือที่นำมาใช้ส่วนใหญ่มีความน่าเชื่อถือตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและหาค่าความเที่ยง
3. เครื่องมือวัดพฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลตามแนวคิดทฤษฎีการดูแลระหว่างบุคคลของวัตสันมีความเป็นสากล
|
เครื่องมือวิจัย
1. เครื่องมือบางส่วนอาจไม่สามารถวัดกระบวนการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ได้ครบวงจรเนื่องจากไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติและการประเมินผล
2. ส่วนใหญ่ไม่ได้รายงานคุณภาพเครื่องมือหลังการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
3. บางรายงานวิจัยไม่มีการระบุที่มาของเครื่องมือและ การตรวจสอบคุณภาพ
|
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์การวิจัยชัดเจนและได้ผลลัพธ์ตามที่กำหนด
|
วัตถุประสงค์
-
|
ข้อค้นพบจากงานวิจัย
1. มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาเกี่ยวกับการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์
โดยใช้แบบวัด 32 ข้ออย่าง เป็นรูปธรรม
2. ข้อค้นพบจากการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนาระบบการเรียนการสอน EBN
|
ข้อค้นพบจากงานวิจัย
1. ขาดความเชื่อมโยงในการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในขั้นตอนการวางแผนการหรือ/ปฏิบัติการพยาบาล
2. พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกในขณะปฏิบัติการพยาบาลควรวัดตามการรับรู้ของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ
การศึกษาครั้งนี้วัดตามการรับรู้ของผู้ให้บริการ อาจมีการลำเอียงตามธรรมชาติ
3. การวัดสมรรถนะเป็นการวัดในเชิงอัตนัยของแต่ละบุคคลและข้อคำถามในการวัดไม่ครบถ้วนตามกระบวนการ
EBN กล่าวคือไม่ได้วัดสมรรถนะในการนำไปปฏิบัติและการติดตามตรวจสอบผล
4. ควรนำผลการทดลองความมีจิตสาธารณะในด้านที่มีคะแนนสูงมาอภิปรายผล
|
ตารางที่ 4 (ต่อ)
จุดแข็ง
|
จุดอ่อน
|
กรอบแนวคิด
-
|
กรอบแนวคิด
การเขียนกรอบแนวคิดในรายงานวิจัยยังไม่ชัดเจน
|
การออกแบบการวิจัย
1. กรอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้น Humanized
care, Evidence-based nursing และ Nursing
process จะทำให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งมีกระบวนการต่อเนื่องเป็นระบบ
2.
มีวิธีการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ถามทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก
3. การจัดกระทำ (Intervention)
การจัดการเรียนการสอนรายวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการฝึกตั้งคำถามประกอบด้วย
4 ขั้นตอนที่ชัดเจนและในส่วนของออกแบบการเรียนการสอน โดยใช้ CIPPA
model ซึ่งเป็นวิธีการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ได้เต็มความสามารถเหมาะสมจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะการตั้งคำถามของนักศึกษาพยาบาล
4. ส่วนใหญ่เป็นวิจัยที่มีความน่าสนใจและตอบสนองต่ออัตลักษณ์สถาบัน
5. รายละเอียดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลไม่ชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้รับบริการ
|
การออกแบบการวิจัย
1. ในงานวิจัยบางเรื่องยังขาด Pre-test อาจทำให้ไม่ทราบว่ากิจกรรมที่ให้กับกลุ่มตัวอย่างช่วยในการพัฒนานักศึกษาได้จริงหรือไม่
2.ในงานวิจัยบางเรื่องถ้าหากมีการจัดกระทำที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มควรมีการเปรียบเทียบผลของการจัดกระทำที่แตกต่างกัน
|
4. แนวทางการพัฒนางานวิจัย
ผลการศึกษานำไปสู่ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยและการปรับปรุงคุณภาพงานวิจัยดังนี้
1. ปัญหาการวิจัยที่ควรค้นหาคำตอบเพิ่มเติมเพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่สมบูรณ์มากขึ้น
1.1 ประสบการณ์และการให้ความหมายของการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์คืออะไร
1.2
ผู้รับบริการมีความพึงพอใจมากขึ้นหรือไม่เมื่อมีการปฏิบัติการพยาบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
1.3 ควรศึกษาปัจจัยทำนายต่อพฤติกรรมการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และเขียนเป็นสมการทำนาย
2. พัฒนาแบบประเมินความสามารถในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์
และนำมาใช้ศึกษาติดตามปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษา
3. ควรพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ภายใต้กรอบแนวคิดการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของวิทยาลัย
4. การคำนวณกลุ่มตัวอย่างควรมีความชัดเจนโดยใช้ค่าขนาดอิทธิพลจากการศึกษานำร่องเป็นตัวเลขที่นำมาใช้คำนวณและแสดง
Effect size ในแต่ละคู่ว่ามีขนาดเท่าใดเพื่อนำมาใช้ในการประมาณขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
สรุป (Conclusion)
การสังเคราะห์ผลงานวิจัยจากหลักฐานเชิงประจักษ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ 3 ประเด็น คือ 1)
การเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน ได้แก่ นักศึกษา อาจารย์
และสิ่งแวดล้อม 2) วิธีการเรียนการสอน 3) การประเมินผล
การผลิตผลงานวิจัยของวิทยาลัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผ่านมา มีทั้งที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อน
เช่น การออกแบบการวิจัย ประชากรและตัวอย่าง เครื่องมือการวิจัย จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการทำวิจัยต่อยอดเพิ่มเติมในประเด็นต่าง
ๆ ที่นำเสนอดังกล่าวข้างต้น
ข้อจำกัดของการสังเคราะห์งานวิจัย
(Limitation)
การสังเคราะห์งานวิจัยครั้งนี้
มีผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักศึกษาในการดูแลผู้รับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ จำนวนทั้งหมด 8 เรื่อง แต่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพ 6 เรื่อง
เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีผลงานวิจัยเรื่องใดที่ออกแบบการวิจัยชนิด randomized
controlled trial ดังนั้นข้อจำกัดของการสังเคราะห์งานวิจัยครั้งนี้
คือ องค์ความรู้ที่ได้มาจากงานวิจัยเพียงระดับ 2 และ 3C
เท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
ทัศนีย์
เกริกกุลธร. (2554).
การพัฒนาความสามารถการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ภายใต้หลักฐานเชิง ประจักษ์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2.
รายงานวิจัยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี.
ศักดิ์มงคล
เชื้อทอง จีราภรณ์ ชื่นฉ่ำ นัยนา ภูลม และพัชนียา เชียงตา (2552). ผลของโปรแกรมการพัฒนาจิต สาธารณะและความสุขของนักศึกษาพยาบาล. รายงานวิจัยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี.
สุนีย์รัตน์
บุญศิลป์. (2555).
ทัศนคติเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลในวิทยาลัยพยาบาลเครือข่ายภาคกลางสังกัด สถาบันพระบรมราชชนก. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 22(3), 64-76.
ประไพ
กิตติบุญถวัลย์และคณะ. ความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาล อาจารย์นิเทศ
และผู้รับบริการต่อการฝึกปฏิบัติ การพยาบาลชุมชนด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง.
รายงานวิจัยวิทยาลัยพยาบาล
บรมราชชนนี สระบุรี.
วารุณี
มีเจริญ และศักดิ์มงคล เชื้อทอง. (2550). พฤติกรรมเอื้ออาทรในการปฏิบัติการพยาบาลของผู้สำเร็จการศึกษา
หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก. รายงานวิจัยวิทยาลัยพยาบาล
บรมราชชนนี สระบุรี.
ปานทิพย์
ปูรณานนท์ และทัศนีย์ เกริกกุลธร. (2554).
ความสามารถและทัศนคติในการปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ของนักศึกษาพยาบาล. วารสารพยาบาลศาสตร์,
29(1), 45-53.
ปานทิพย์
ปูรณานนท์ และทัศนีย์ เกริกกุลธร. (2554).
ปัจจัยทำนายสมรรถนะของนกศึกษาพยาบาลในการปฏิบัติ การพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์.
วารสารพยาบาลศาสตร์, 29(1), 47-55.
พอเพ็ญ
ไกรนราและคณะ. (2552).
ผลการจัดการเรียนการสอนวิชาการศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่เน้นการ ฝึกตั้งคำถามของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์
ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี. รายงานวิจัย วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สระบุรี.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น