การนำนโยบายทางการศึกษาสู่การปฏิบัติ
: กรณีศึกษาการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน
สุดา
เดชพิทักษ์ศิริกุล
บทนำ
การสร้างประชาคมอาเซียนในปี
พ.ศ.2558 เป็นนโยบายของผู้นำอาเซียนที่ตกลงร่วมกัน
ในการรวมตัวกันของประเทศอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นและทันต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ข้อตกลงดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยมีการขับเคลื่อนหาแนวทางพัฒนาตนเองทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง
สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งด้านการศึกษา และรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน
ได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงอาเซียน
ดังปรากฏในวัตถุประสงค์นโยบาย
ข้อ 3 ที่ว่า “เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อม และความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
การเมืองและความมั่นคง” รวมถึงนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต ข้อ 4 (4.1) นโยบายการศึกษา (4.1.7)ที่ระบุว่า
“เพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับ การเปิดเสรีประชาคมอาเซียน
โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ
สอดคล้องตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการ
เร่งรัดการจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ และการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ครบทุกอุตสาหกรรม” และข้อ 4.2 นโยบายแรงงาน (4.2.6) “เตรียม
การรองรับการเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 โดยเน้นระบบบริหารจัดการเพื่อจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ
จัดระบบอำนวยความสะดวก และมาตรการการกำกับดูแล ติดตามการเข้าออกของแรงงานทุกประเภทเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีฝีมือเข้าประเทศควบคู่กับการป้องกันผลกระทบ
จากการเข้าประเทศของแรงงานไร้ฝีมือ”
(4.2.7) “กำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
โดยคำนึงถึงความต้องการแรงงานของภาคเอกชนและการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ”
จากวัตถุประสงค์นโยบายและนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต
พ.ศ.2554
ดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่บริบทของประชาคมอาเซียน และที่นำมาศึกษา
ในที่นี้เป็นบริบทด้านการศึกษาและด้านแรงงาน
เนื่องจากประเทศไทยได้เปิดเสรีทางการศึกษาซึ่งเป็นการเปิดเสรีทางการค้าบริการอย่างหนึ่ง และที่น่าสนใจคือ การนำนโยบายไปปฏิบัติในรูปแบบของ
พ.ร.บ ต่างๆ และกฎหมาย
ที่ต้องพิจารณาและปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามหลักการพื้นฐานการค้าเสรี ( GATS)
ได้แก่ พ.ร.บ
การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ร่าง พ.ร.บ
ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานและ พ.ร.บ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.
2548 ซึ่งมีผลต่อการหลั่งไหลของลูกจ้าง หรือแรงงานวิชาชีพต่างๆ
จากประเทศภายใต้ประชาคมอาเซียนเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเสรี ในขณะที่ลูกจ้างไทยในวิชาชีพบางประเภทเช่น
แพทย์
พยาบาลฯก็อาจมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปในประเทศที่มีอัตราค่าจ้างสูงกว่าประเทศไทย และหากมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานของลูกจ้างชาวต่างชาติในประเทศไทยได้ในอนาคต
การเตรียมกฎหมายและเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพที่จะนำมาประเมินแรงงานไทยและต่างชาติให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
รัฐบาลและนายจ้างจึงจำเป็นต้องเตรียมแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในขณะเดียวกันการจัดการศึกษาเพื่อผลิตกำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงานของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
ควรวิเคราะห์ความเข้มแข็งทางวิชาการและพัฒนาให้โดดเด่น โดยเฉพาะในสาขา Agricultural and Biological Sciences,
Energy และ Medicine
ที่ถูกจัดลำดับว่ามีงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่มากเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
(SCOPUS ฐานข้อมูลการตีพิมพ์และการอ้างอิงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในอาเซียน
2548-2552)
เพื่อพร้อมแข่งขันกับประเทศสมาชิกอาเซียน
ทั้งนี้การศึกษาในโลกปัจจุบันสามารถดำเนินการในเชิงธุรกิจได้เช่นเดียวกับสินค้าและบริการประเภทอื่นๆ
จากการศึกษาการทำการตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศในหลายๆสาขา
พบว่าการเปิดเสรีทางการศึกษาเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ต้องปฏิบัติตามรูปแบบการค้าและบริการ
(Modes of service supply) ได้แก่ การบริการข้ามชาติ (Mode 1
Cross - border Supply) การใช้บริการต่างประเทศ (Mode 2
Consumption - Abroad)
การเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ (Mode 3 Commercial
Presence) และการให้บริการโดยบุคคลธรรมดา (Mode 4 Presence
of Natural Person)
ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายคนในระดับอุดมศึกษา
การประกอบธุรกิจการศึกษาของชาวต่างชาติ การแข่งขันดึงดูดนักศึกษา มาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา และมาตรฐานในการเข้าศึกษาต่อเป็นต้น
และที่สำคัญข้อตกลงดังกล่าวมีผลกระทบต่อกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ต้องวิเคราะห์ทั้งทางบวกและทางลบ
ในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
เพื่อปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับข้อตกลงทางการค้าเสรี
รวมทั้งหามาตรการรองรับไม่ให้เกิดผลที่ตามมาภายหลังจากการแก้กฎหมาย
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
(policy
Implementation) เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการนโยบาย (policy
process)
เป็นตัวบ่งชี้การกระทำให้เกิดผลเป็นจริง
จำเป็นต้องทำควบคู่กับการประเมินผล นโยบาย
เพราะการประเมินผลฯจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสนอแนะแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ วิลเลียมส์ กล่าวว่า
กิริยาที่นำไปปฏิบัติมีความหมาย 2 ประการคือ
ประการแรกจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้การดำเนินการสำเร็จลุล่วงและประการที่สองคือการดำเนินการให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในการศึกษานี้
กล่าวได้ว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งของการนำนโยบายการศึกษาและนโยบายแรงงานซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต (คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัฒน์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ข้อ 4 (4.1) (4.2)
ไปปฏิบัติ
ทั้งในขั้นทำความเข้าใจวัตถุประสงค์นโยบายและขั้นการปฏิบัติ
ดังปรากฏในส่วนของจัดทำแนวทาง การยกร่าง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่จำเป็น
อันจะนำไปสู่การกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
การเตรียมการรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียน
และการจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการ ปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ
การอภิปราย แนวคิด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1.1.
แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (policy
Implementation)
การนำนโยบายไปปฏิบัติ
(policy
Implementation) เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการ นโยบาย
(policy process)
เป็นการบริหารนโยบาย การพัฒนาแผนงาน การออกคำสั่ง การกำหนดกิจกรรม ที่ครอบคลุม ระดับบุคคล
ระดับกลุ่ม
ทั้งที่อยู่ในระบบราชการและเอกชนเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย
ที่ประกอบด้วย การกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ
การประเมินผลนโยบายและการวิเคราะห์ผลสะท้อนกลับของนโยบาย นอกจากนี้การนำนโยบายไปปฏิบัติได้รับการมองว่าเป็นกฎหมายที่มีตัวแสดง องค์การ
วิธีปฏิบัติและเทคนิคต่างๆที่หลากหลาย
ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายของแผนหรือนโยบายบรรลุผล อีกทรรศนะหนึ่งเห็นว่าเป็นกระบวนการ (Process) หรือเป็นชุดของการตัดสินใจดำเนินการ
เป็นผลผลิต (Output) และเป็นผลลัพธ์ (Outcome)
กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับมหภาคและระดับจุลภาค ในระดับ มหภาค จะมีขั้นตอนดำเนินงานอยู่
2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนแรกเป็นการแปลงนโยบายออกมาเป็นแผน
(plan) แผนงาน (program) และโครงการ
(project) ซึ่งมีกิจกรรมในขั้นตอนนี้ ได้แก่ การทำความเข้าใจเป้าหมายนโยบาย การวิเคราะห์วัตถุประสงค์นโยบาย
การจัดระบบและกลไก ทั้งจัดรูปแบบองค์การ
การจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน
การประสานหน่วยงาน รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรในการดำเนินงานและขั้นตอนที่
2 เป็นการดำเนินงาน ส่วนกระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติระดับจุลภาค จะมีขั้นตอนดำเนินงานอยู่ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นการระดมพลังประกอบด้วย
การแสวงหาความสนับสนุนจากประชาชนหรือกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์
และการแสวงหาวิธีการปฏิบัติ
ขั้นการปฏิบัติและขั้นสร้างความเป็นปึกแผ่นซึ่งเป็นการจูงใจให้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
กลไกการนำนโยบายไปปฏิบัติให้บรรลุความสำเร็จ ที่สำคัญคือ 1.ฝ่ายการเมืองซึ่งครอบคลุมถึง
รัฐสภาและรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่กำหนดขอบเขตการนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยการออกกฎหมาย มติคณะ รัฐมนตรี
กฎกระทรวงและระเบียบการปฏิบัติ 2.ระบบราชการ ประกอบด้วยโครงสร้าง
ได้แก่ระดับชั้นการบังคับบัญชา
บทบาทหน้าที่ตามตำแหน่งฯ
ค่านิยมและลักษณะพฤติกรรมของระบบราชการ เช่น การปฏิบัติตามเกณฑ์ ความมีเหตุผล
หลักความสามารถ และประโยชน์สาธารณะเป็นต้น
3.ข้าราชการในฐานะบุคคลแบ่งเป็นหลายระดับ
ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารโครงการและผู้ให้บริการต่างมีความสำคัญซึ่งกันและกันในการสนับสนุน
ส่งเสริมการนำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
และ 4.ผู้ที่ได้รับผลจากนโยบายทั้งในกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์และเสียผลประโยชน์
ตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
ได้แก่ตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติแบบบนลงล่าง (Top - Down
Approach) และตัวแบบการวิเคราะห์แบบล่างขึ้นบน (Buttom - up Approach)
ได้แก่ ตัวแบบการจัดการนโยบาย ตัวแบบผลลัพธ์ ตัวแบบกระบวนการเรียนรู้
และตัวแบบวิเคราะห์พันธมิตร ฯ ในการศึกษาครั้งนี้ สามารถใช้ตัวแบบกระบวนการเรียนรู้
และตัวแบบวิเคราะห์พันธมิตรในการวิเคราะห์ประเด็นผลกระทบและความสอดคล้องของข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆกับกฎหมายที่มีอยู่เดิมจะสามารถหาข้อสรุปเพื่อการตัดสินใจปรับแผนดำเนินการต่อไป ซึ่งตัวแบบการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้
ที่มีการแสวงหากลยุทธ์
วิธีการที่ต่อเนื่องมีผลต่อการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิ์ผล และจากเหตุผลที่ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการศึกษากับประชาคมอาเซียน
การมีพันธมิตรที่เกื้อกูลสนับสนุนกันระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสมาชิกอาเซียนที่มีความเชื่อและแสวงหาเป้าหมายร่วมกัน โดยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกัน
จะช่วยให้
การปรับแก้กฎหมายหรือนำเสนอนโยบายเพื่อความมั่นคง อาจได้รับการสนับสนุน หรือเกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด
ดังนั้นการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงมีลักษณะเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและสัมพันธ์กันคือ
มีกิจกรรมหนึ่งเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบต่อกิจกรรมที่ตามมาด้วยและเกิดการเปลี่ยนแปลง
แผนงาน โครงการ กิจกรรม
หรือกฎหมาย จนกระทั่งดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย
เมื่อพิจารณาคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา วันอังคารที่ 23
สิงหาคม 2554
ว่าด้วยจุดมุ่งหมายของนโยบาย
นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย
3 ประการ คือ
1. เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพและสุขภาพคนไทยในทุกช่วงวัยถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสามารถในการอยู่รอดและแข่งขันได้ของเศรษฐกิจไทย
2. เพื่อนำประเทศไทยสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของหลัก
นิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน
3. เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
และการเมืองและความมั่นคง
การนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายหลังการตรากฎหมายหรือพระราชบัญญัติเรียบร้อยแล้ว
ในกรณีนี้เป็นการวิเคราะห์ทำความเข้าใจกับ วัตถุประสงค์นโยบาย
และแปลงนโยบายในรูปแบบของแผนงานหรือโครงการ โดยมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ศึกษาผลกระทบที่เกิดจากเนื้อหา
หลักการพื้นฐานการเปิดการค้าเสรีที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงประชาคมอาเซียน
ในด้านการลงทุนบริการการศึกษา
การเคลื่อนย้ายแรงงานด้านวิชาชีพ
มาตรการควบคุมคุณภาพการศึกษาและการจัดเตรียมหลักสูตรและมาตรฐานการเทียบโอนหน่วยกิจระหว่างประเทศในประชาคมอาเซียนฯเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเสรีทางการศึกษาในปี
2558
ซึ่งการวิเคราะห์ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและแรงงาน
ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดเป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ระดับมหภาค และเมื่อนำมาศึกษากับตัวแบบการวิเคราะห์การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติดังกรณีศึกษา
เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีทางการศึกษาดังรายละเอียดที่กล่าวแล้วข้างต้น สามารถสรุปและอภิปรายได้ว่า
1.
การนำนโยบายไปปฏิบัติมีลักษณะพิเศษ สอดคล้องกับแนวคิดของ Randall Ripley
and Grace Franklin คือ มีผู้เกี่ยวข้องสำคัญจำนวนมาก
ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคลและองค์การทั้งเอกชน
ภาครัฐในประเทศและต่างประเทศ
ดังที่ปรากฏในการศึกษานี้ ได้แก่ นายยกรัฐมนตรี
คณะกรรมการศึกษากฎหมายและพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและแรงงาน
รวมทั้งประเทศสมาชิกที่ทำข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน เป็นต้น
2.
มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายระดับ เช่น สำนักนายยกรัฐมนตรี
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
3. วัตถุประสงค์ของนโยบายมีลักษณะกระจัดกระจาย
ไม่ชัดเจน ในวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งมีวัตถุประสงค์อื่นๆซ้อนกัน ทำให้ผู้เกี่ยวข้องต้องตีความทำความเข้าใจแตกต่างกันและมักเป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติ
ดังที่ปรากฏในวัตถุประสงค์นโยบายข้อที่3 “เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 อย่างสมบูรณ์” “สร้างความพร้อมและความเข้มแข็ง ทั้งทาง “ ด้านเศรษฐกิจ” “สังคมและวัฒนธรรม” และ
“การเมืองและความมั่นคง”
4.
นโยบายของรัฐบาลมีการขยายตัว
ดังนั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง และมีการขยายตัวของกิจกรรม
ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายที่มีจำนวนและขอบเขตมากขึ้น
และจากลักษณะสำคัญของการนำนโยบายไปปฏิบัติทั้ง 4 ประเด็น
สามารถสะท้อนให้เห็นกระบวนการนโยบายและลักษณะการนำนโยบายไปปฏิบัติซึ่งเป็นหัวใจของขั้นตอนนโยบาย ดังภาพ
1. GATS, WTO,
ACFTA นโยบาย Market
Access
,
National Treatment,
ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต พ.ศ.2554
ก่อให้เกิด Transparency เปิดเสรีทางการศึกษา
พ.ร.บ
ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน
พ.ร.บ การทำงานของคนต่างด้าว2551ฯ
2. การนำนโยบายไปปฏิบัติ/ ใช้เป็นกรอบ
การวิเคราะห์แปลความกฎหมาย/
พ.ร.บ เสนอแนวทางปรับแก้กฎหมาย การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย
ก่อให้เกิด และเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ
นำไปสู่
3. การประเมินผลเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบาย ผลการดำเนินงาน/ผลกระทบ
1.2
ข้อตกลงการเปิดเสรีทางการศึกษาที่ประเทศไทยทำกับต่างประเทศและมีผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านการศึกษา
ในการพิจารณาข้อตกลงนี้
อาศัยการทำความเข้าใจข้อมูลหลักการพื้นฐานระหว่างประเทศของความตกลงด้านการค้าและบริการ รูปแบบการค้าบริการ สาขาของการบริการและประเภทของการค้าบริการด้านการศึกษา
หลักการพื้นฐานระหว่างประเทศของความตกลงด้านการค้าและบริการมีหลักการพื้นฐานมาจาก
General
Agreement on Trade in Services: GATSขององค์การค้าโลก (WTO)
ประกอบด้วยหลักการดังนี้
1.
หลักการลดข้อจำกัดการเปิดตลาด (Market Access)
เป็นหลักการที่ห้ามการกำหนดระเบียบต่างๆอันนำมาซึ่งการจำกัดเข้าสู่ตลาดหรือให้บริการ
โดยระบุข้อจำกัดในตารางข้อผูกพันเฉพาะซึ่งอยู่ในกรอบของความเป็นธรรมและมีเหตุผล
ได้แก่ การจำกัดจำนวนผู้ให้บริการ การจำกัดประเภทเฉพาะของการจัดตั้งธุรกิจ
การจำกัดการเข้าร่วมทุนพ.ร.บนของต่างชาติฯ
2.
หลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) คือรัฐสมาชิกต้องปฏิบัติต่อการบริการหรือกิจกรรมการบริการไม่ด้อยกว่าการปฏิบัติที่เหมือนกันของคนในชาติ
3.
หลักการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส (Transparency) สมาชิกต้องเปิดเผยข้อกฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับต่างๆให้สาธารณชนรับทราบ
(ยกเว้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง)
4. หลักการเปิดเสรีแบบก้าวหน้าตามลำดับ (Progressive)
เป็นหลักการที่เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกดำเนินการเปิดเสรีตามความพร้อมของประเทศตน สามารถกำหนดระเบียบภายในที่จำเป็นในการกำกับดูแลธุรกิจบริการเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศได้
แต่ต้องเป็นมาตรการที่เป็นกลางและมีเหตุผลและต้องมีการทบทวนความก้าวหน้าในการเปิดเสรีตามลำดับ
5 ปี
5.
หลักการปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (The Most Favoured National
Treatment-MFN)
เป็นหลักการที่ตั้งอยู่บนความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน
โดยรัฐคู่ภาคีต้องให้โดยทันทีและปราศจากเงื่อนไขแก่ผู้ให้บริการ
ในการปฏิบัติไม่น้อยกว่าที่ให้แก่ผู้ให้บริการของสมาชิกอื่นใด
อาจกล่าวได้ว่า
ข้อตกลงการเปิดเสรีทางการค้าตามหลักการ GATS
ขององค์การค้าโลก (WTO) มีวัตถุประสงค์ที่จะลดอุปสรรคทางการค้า
การค้าบริการและการลงทุน ระหว่างกัน ให้เหลือน้อยที่สุด
รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ
การลดอุปสรรคในการให้บริการต่างๆ เช่น การสื่อสาร การศึกษา เป็นต้น การเปิดเสรีทางการศึกษาเป็นการเปิดเสรีการค้าบริการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการตามหลักการดังกล่าวข้างต้น และข้อตกลงการเปิดเสรีทางการศึกษาที่ประเทศไทยทำกับต่างประเทศ ได้แก่
- ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน (ACFTA)
ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมบริการในสาขาวิชาชีพการศึกษา
การบริการด้านสุขภาพการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าทางเรือมีผลบังคับใช้วันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
- ความตกลงการค้าบริการของอาเซียน
(AFAS) ในข้อผูกพันตลาดการค้าบริการชุดที่7
มีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
- ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน
–ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA)
มีผลบังคับใช้ปลายปี พ.ศ.2552 ถึงต้นปี พ.ศ.2553
1.3.
กฎหมายและระเบียบที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการศึกษา
ในการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการเกี่ยวกับการศึกษา
ซึ่งเป็นการเจรจา
การทำความตกลงระหว่างประเทศซึ่งผลผูกพันหากจะให้เป็นไปตามข้อตกลงอาจมีผลกระทบต่อกฎหมายและระเบียบต่างๆ
ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศจึงจำเป็นต้องพิจารณา
วิเคราะห์กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่ผ่านมาเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ กฎหมายและระเบียบต่างๆที่สำคัญ ดังนี้
- พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน พ.ศ.2546แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550
-
กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ.
2549
- พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
พ.ศ. 2550 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง คือ เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ
สัญชาติของผู้ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน ทั้งบุคคลธรรมดา (ม.21) นิติบุคคล (ม.22 (5))
รวมทั้งผู้อำนวยการกองทุนสงเคราะห์ (ม.37) และ (ม.69) คือต้องมีสัญชาติไทย
ซึ่งมีผลกระทบต่อความตกลงระหว่างประเทศและอาจนำไปสู่การแก้ไขเงื่อนไขเรื่องสัญชาติต่อไป
-
ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริการศึกษาเอกชนว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และ
วิธีการแต่งตั้งผู้จัดการ พ.ศ.2551 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
คือ เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ สัญชาติคือต้องมีสัญชาติไทย
-
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนเอกชนนานาชาติระดับก่อนประถมศึกษา
ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา พ.ศ.2550เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง คือ
เกณฑ์ที่ระบุไว้เกี่ยวกับ สัญชาติคือผู้จัดการต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด
-
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา
พ.ศ.
2545 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549
-
กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับโรงเรียนราษฎร์
ประเภทอาชีวศึกษาที่เปิดสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพ.ศ.
2525
- พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ.2497แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2551
-
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ. 2542
จากการศึกษาพบว่ามีประเด็นที่ควรพิจารณาคือ
เรื่องทุนขั้นต่ำ
ทั้งจำนวนทุนและระยะเวลาในการนำเข้าของทุนรวมทั้งประเภทของการประกอบธุรกิจที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้มีความไม่สอดคล้อง
และส่งผลกระทบต่อความตกลงระหว่างประเทศ
ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนหรืออาจวางนโยบายในการออกกฎหมายใหม่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านความมั่นคงของประเทศเป็นสำคัญ
- พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ.2522แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542
- พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าวพ.ศ.
2551
จากการศึกษาในส่วนของเนื้อหาการทำความตกลงระหว่างประเทศต่างๆที่ประเทศไทยผูกพันในสาขาบริการการศึกษาและวิเคราะห์ประเด็นกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้อง
ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า
มีความไม่สอดคล้องในประเด็นเกี่ยวกับสัญชาติ คือ
ต้องมีสัญชาติไทยของผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจการศึกษาและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับทุนขั้นต่ำ
ประเภทของการค้าบริการด้านการศึกษาแบ่งออกเป็น
5 ระดับคือ
- ระดับ A
บริการการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับเตรียมประถมและประถมศึกษาไม่รวมบริการรับ
เลี้ยงเด็ก
- ระดับ B บริการการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นตอนปลายสายสามัญสายเทคนิคและ
อาชีวศึกษา
- ระดับ C บริการการศึกษาระดับอุดมศึกษาสายเทคนิคและสายอาชีวศึกษา
- ระดับ D
บริการการศึกษาหลักสูตรวิชาชีพหรือหลักสูตรระยะสั้น การศึกษาผู้ใหญ่
ครอบคลุมการศึกษานอกระบบ
- ระดับ E บริการการศึกษาอื่นๆได้แก่
สอนภาษา ศิลปะและดนตรี
จากข้อมูลประเภทการค้าด้านการศึกษา
มีความน่าสนใจในประเด็นเกี่ยวกับเกณฑ์การรับนักศึกษา การเทียบโอนหน่วยกิต การเทียบวุฒิการศึกษา
ซึ่งไม่มีการกำหนดมาตรฐานไว้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในระดับ C
บริการการศึกษาระดับอุดมศึกษาฯ อาจก่อให้เกิดปัญหาได้โดยเฉพาะด้านคุณภาพผู้เข้าศึกษาอาจไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรทั้งเชิงความรู้และวุฒิภาวะ
ดังนั้นจึงควรหามาตรการในการแก้ไขปัญหา
เรื่องเกณฑ์การเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
การขอเทียบวุฒิจากต่างประเทศเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากลและเป็นการเตรียมพร้อมการเปิดเสรีทางการศึกษาต่อไป
ปัจจุบันประเทศไทยมีความผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการศึกษาใน3ประเภท คือโรงเรียนนานาชาติ
อาชีวศึกษาและการศึกษาเทคนิคและหลักสูตรวิชาชีพและหลักสูตรระยะสั้นโดยให้เปิดเสรีโดยไม่มีข้อจำกัดในรูปแบบการถือหุ้น ส่วนการศึกษาในระดับอุดมศึกษายังไม่มีความผูกพันในกรอบอาเซียน
นอกจากนี้ประเด็นที่ควรนำมาพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งคือ รูปแบบการค้าและบริการ
(Modes of service supply) ตามหลักการขององค์การการค้าโลก
(WTO) ซึ่งมี 4 รูปแบบได้แก่ Mode 1 การบริการข้ามแดน (Cross - border Supply)
เป็นการให้บริการจากประเทศหนึ่งๆ ผ่านสื่อโดยผู้ให้บริการไม่ต้องไปอีกประเทศหนึ่ง
เช่น การศึกษาทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต และ E-Learning เป็นต้น Mode 2 การใช้บริการต่างประเทศ (Consumption - Abroad) เป็นการให้บริการโดยผู้บริโภค
(Service Consumer)
ประเทศหนึ่งไปใช้บริการอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นผู้ให้บริการ (Service
Supplier) โดยการให้บริการจะมีขึ้นในดินแดนเดียว เช่น การเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นต้น Mode 3 การเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ
(Commercial Presence) เป็นกรณีที่ผู้ประกอบกิจการประเทศหนึ่งไปลงทุนตั้งสำนักงานเพื่อให้บริการอีกประเทศหนึ่ง
โดยให้บริการผ่านทางEntities เช่นการตั้งสาขา สำนักงาน
ตัวแทน เป็นต้น และ Mode 4 การให้บริการโดยบุคคลธรรมดา (Presence
of Natural Person) เป็นการให้บริการโดยบุคคลธรรมดาประเทศหนึ่งไปทำงานในดินแดนอีกประเทศหนึ่งเป็นการชั่วคราว
เช่น อาจารย์ต่างชาติเข้ามาสอนหนังสือในประเทศหนึ่ง
จากประเด็นเรื่องรูปแบบการค้าและบริการซึ่งการเปิดเสรีทางการศึกษา
อาจมีผลกระทบต่อระบบการศึกษาของประเทศไทยทั้งทางบวกทางลบ โดยผลกระทบทางบวกนั้นการเปิดเสรีทางการศึกษาใน Mode
3 ที่ว่าการเข้ามาตั้งหน่วยบริการของหน่วยงานต่างประเทศ (Commercial
Presence) จะส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูง
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการมีทางเลือกมากขึ้นและขณะเดียวกันจะส่งผลให้สถานศึกษาพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษาเพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น
ส่วนผลกระทบในทางลบนั้นยังไม่มีข้อมูลในการพิจารณาที่ชัดเจน แต่การเปิดเสรีด้านการบริการการศึกษา
อาจทำให้เกิดปัญหาในกรณีของการควบคุมคุณภาพให้มีความเท่าเทียมกัน
ให้ได้มาตรฐานทั้งสถานศึกษาที่มีเจ้าของเป็นคนไทยกับสถานศึกษาที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติหากไม่สามารถทำให้เกิดความเท่าเทียมกันได้จะเกิดผลกระทบในทางลบ และในกรณี Mode 4 การให้บริการโดยบุคคลธรรมดา
(Presence of Natural Person)เช่น
อาจารย์ต่างชาติเข้ามาสอนหนังสือในประเทศสิ่งที่ควรพิจารณา
คือเกณฑ์และมาตรฐานในการอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ควรให้ความสำคัญกับการประเมินคุณภาพ ประเภท
ความชำนาญและความเท่าเทียมกันในโอกาส ไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติเพื่อป้องกันผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้น
ดังนั้นหากมีการแก้กฎหมายก็ควรมีมาตรการรองรับเพื่อมิให้เกิดผลกระทบตามมาในภายหลัง การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังและเท่าเทียมกัน ถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่ง
ในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่ส่งผลกระทบในทางบวกในเรื่องความร่วมมือกันและความมั่นคงของประเทศ
บทสรุป การวิเคราะห์เนื้อหาความตกลงระหว่างประเทศต่างๆ
ที่ประเทศไทยได้ มีการเปิดเสรีสาขาบริการการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องพบความไม่สอดคล้องในตัวบท
และอาจมีผลกระทบต่อข้อตกลงดังกล่าว การนำข้อมูลไปใช้ในการปรับแก้กฎหมาย หรือนำไปสู่วิธีทางนโยบายในการออกกฎหมายใหม่นั้น
อาจกล่าวได้ว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งของการนำนโยบายสู่การปฏิบัติซึ่งจำเป็นต้องทำควบคู่กับการประเมินผลนโยบาย
เพราะการประเมินผลฯจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสนอแนะแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในบทความนี้
เป็นกิจกรรมหนึ่งของการนำนโยบายการศึกษาและนโยบายแรงงาน ซึ่งอยู่ภายใต้นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต ไปสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วยการจัดทำแนวทาง การยกร่าง
การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่จำเป็น และนำไปสู่การกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าว
การเตรียมการรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีภายใต้ประชาคมอาเซียน
การจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพรับรองสมรรถนะการปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ การออกกฎหมายรองรับการเปิดเสรีบริการการศึกษาเป็นสิ่งที่สถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและติดตามการเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดกลยุทธ์การศึกษา
ผลิตแรงงานด้านการบริการให้เป็นหนึ่งในประเทศประชาคมอาเซียนที่ไม่เสียดุลการค้า.
เอกสารอ้างอิง
จุมพล หนิมพานิช. การวิเคราะห์นโยบาย ขอบข่าย แนวคิดและกรณีตัวอย่าง.
นนทบุรี:
สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช, 2552.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. โครงการศึกษาแนวทางพัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการ
ศึกษา. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด วีทีซี คอมมิวนิเคชั่น, 2553.
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.
ยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็น
ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558. กรุงเทพฯ
: ห้างหุ้นส่วนจำกัดบางกอกบล็อก, 2553.
สมบัติ
ธำรงธัญวงศ์. นโยบายสาธารณะ:
แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์
เสมาธรรม, 2554.
ความสนใจ
ตอบลบคุณกำลังมองหาสินเชื่อเพื่อเปิดธุรกิจ กู้ซื้อบ้าน ชนิดของเงินกู้ยืมที่คุณต้องการหรือไม่ นี่ คือโอกาสของคุณ เราให้ออกเงินให้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ เช่นสินเชื่อบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อธุรกิจ ฯลฯ คนจริงจัง และสนใจในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 1.5%
ติดต่อเราตอนนี้ผ่านทางอีเมล์:: info.beaconloansfirm@gmail.com
อย่าพลาดนี้โอกาสดี ขอบคุณ
Natchaya พาลา -en
Info.beaconloansfirm@gmail.com
สวัสดี !!!
ตอบลบต้องการบริการสินเชื่อที่ถูกต้องและรวดเร็ว? สมัครสำหรับขั้นตอนต่อไป เรานำเสนอทุกชนิดของเงินให้สินเชื่อที่ 2% อัตราดอกเบี้ยต่อปีจากช่วงของ 5000-50000000 บุคคลใดที่สนใจควรตอบกลับมาให้เรามีดังต่อไป: อีเมล์: thomson.loanservice@gmail.com
ข้อมูลที่จำเป็นโปรดติดต่อเรา
ชื่อเต็ม: ..........
หมายเลขโทรศัพท์:.......
รายได้ต่อเดือน: .............
ประเทศ ...............................
สินเชื่ออเนกประสงค์ ...........
จำนวนเงินที่จำเป็น .................
เงินกู้สถานะ / ระยะเวลา: ...........................
ติดต่อเราโดยอีเมล: thomson.loanservice@gmail.com
ประกาศเครดิต
บริษัท เงินทุน
ติดต่อ Speedy เครดิตในขณะนี้ !!!
บริษัท เงินกู้ RIKA ANDERSON
ตอบลบrikaandersonloancompany@gmail.com
w / s +14147057484
ฉันนาง Nisrina Endang จาก Makassar, อินโดนีเซีย, ฉันใช้สื่อเพื่อบอกพี่น้องของฉันว่าฉันเพิ่งได้รับเงินกู้ 250 ล้านจากแม่ที่ดีเมื่อลูกป่วยและต้องการปลูกถ่ายไตที่ฉันไม่ต้องการ ' ไม่มีเงินทั้งหมดมีคนปฏิเสธที่จะให้ยืมเงินกับฉันธนาคารของฉันปฏิเสธฉันจนกว่าฉันจะได้พบกับนาง Pertiwi Gesang อีเมล pertiwigesang@gmail.com และแม่ Merpati Darma กับอีเมล merpatidarma@gmail.com บริษัท ที่เรียกว่า Ibu RIKA ANDERSON เงินกู้ บริษัท
พวกเขาให้เงินกู้ฉันเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกของฉันและตั้งธุรกิจโดยไม่มีหลักประกันพร้อมดอกเบี้ย 2% นางริกาเป็นผู้กอบกู้ชีวิตขอพระเจ้าทรงอวยพรแม่ที่ซื่อสัตย์สำหรับการทำความดีของเขาต่อไป
หากคุณต้องการสินเชื่อหรือความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อชำระหนี้ของคุณหรือลงทุนในธุรกิจของคุณฉันจะแนะนำให้คุณติดต่อ บริษัท ผ่านทางอีเมลในกรณีและทุกคำถามหรือข้อเสนอแนะฉันสามารถติดต่อทางอีเมลได้ที่ endangnisrina@gmail.com ฉันหวังว่าความสงบสุขและพรเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนกังวล
Nisrina Endang
endangnisrina@gmail.com
BCA IDR 250,000,000
จาก Makassar, อินโดนีเซีย
สวัสดี !
ตอบลบคุณต้องการบริการสินเชื่อที่ถูกต้องและรวดเร็วหรือไม่?
สมัครเลยรับเงินสดด่วน!
* ยืมระหว่าง $5,000 ถึง $50,000,000
* เลือกระหว่าง 1 ถึง 30 ปีในการชำระคืน
* ข้อกำหนดและเงื่อนไขการกู้ยืมที่ยืดหยุ่น
แผนทั้งหมดเหล่านี้และอื่น ๆ ติดต่อเราตอนนี้
ติดต่อเราทางอีเมล: gerred.breinloanlenderr@gmail.com
ความนับถือ
การจัดการ.
ติดต่อสินเชื่อด่วนของคุณตอนนี้!!