วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พยาบาลกับการป้องกันการบาดเจ็บ



วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี  สระบุรี
การจัดการความรู้เรื่อง  พยาบาลกับการป้องกันการบาดเจ็บ

โดย......อ.ภูวสิทธิ์  สิงห์ประไพ

การป้องกันการบาดเจ็บเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดอุบัติการณ์ของการบาดเจ็บ หลักการการป้องกันการบาดเจ็บที่นิยมใช้ ประกอบด้วย การป้องกัน 3 ระยะ กลยุทธ์ในการป้องกันการบาดเจ็บโดยการใช้ 5E และการใช้ขอบเขตของลำดับการป้องกัน
          1. การป้องกันการบาดเจ็บ 3 ระยะ
          การป้องกันระยะที่ 1 (Primary Prevention)
          การป้องกันระยะที่ 1 หมายถึง การกระทำที่ป้องกันไม่ให้การบาดเจ็บเกิดขึ้น หรือการป้องกันเพื่อไม่ให้นำไปสู่การเกิดการบาดเจ็บ ดังนั้นการป้องกันระยะนี้จะดำเนินการป้องกันก่อนที่การบาดเจ็บจะเกิดขึ้น ซึ่งการป้องกันระยะแรกเกี่ยวข้องกับการดำเนินการหลัก 2 วิธีการ คือ
1) การส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงความสามารถโดยทั่วไปของบุคคลและชุมชนที่จะป้องกันโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บ ตัวอย่างของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น
-                   การให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายผ่านทางการสื่อสารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
-                   การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น ปรับให้ถนนมีแสงสว่างเพียงพอ การมีรั้วรอบสระน้ำ
-                   การบังคับใช้กฎหมาย เช่น การจำกัดความเร็ว การห้ามขับรถขณะเมาสุรา (Drunk Driving) และการสุ่มตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยการเป่า มาตรฐานการสร้างตึกและอาคารในพื้นที่ที่มีแผ่นดินไหวและพายุไซโคลน และการลดภาษีโรงงานที่ผลิตอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย
2) การป้องกันเฉพาะ เป็นการใช้อุปกรณ์หรือวิธีการเฉพาะสำหรับการป้องกันการบาดเจ็บเฉพาะที่ เช่น การใส่แว่นตาเมื่อเชื่อมโลหะ การใส่ถุงมือและเสื้อผ้าเมื่อสัมผัสสารเคมี และการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเพื่อป้องกันรังสี
                    การป้องกันระยะที่ 2 (Secondary Prevention)
         การป้องกันระยะที่ 2 หมายถึง การกระทำเพื่อจำกัดหรือลดความก้าวหน้าของโรคในระยะเริ่มแรก และป้องกันภาวะแทรกซ้อน การป้องกันระยะนี้เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะแรกและการให้การดูแลการบาดเจ็บอย่างเหมาะสม โดยจะเริ่มดำเนินการทันทีหลังจากที่เกิดการบาดเจ็บ ตัวอย่างของกลยุทธ์การป้องกันการบาดเจ็บระยะที่ 2 เช่น การปฐมพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ การดูแลก่อนนำส่งโรงพยาบาล การขนส่ง และการดูแลผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลอย่างครอบคลุม  
          การป้องกันระยะที่ 3 (Tertiary Prevention)
         การป้องกันระยะที่ 3 เป็นการกระทำเพื่อลดหรือขจัดความบกพร่องในระยะยาวและความพิการ ส่งเสริมการปรับตัวกับสภาพที่ไม่มีทางรักษาได้ และทำให้เกิดผลลัพธ์สุดท้ายที่ดีที่สุด ซึ่งการฟื้นฟูสภาพเป็นวิธีการหลักของการป้องกันในระยะนี้ ทั้งนี้การฟื้นฟูสภาพครอบคลุมทั้งการฟื้นฟูการทำหน้าที่ของร่างกาย จิตใจ (เช่น คุณค่าในตนเองและบุคลิกภาพที่ดี) สังคม (สัมพันธภาพของผู้บาดเจ็บกับสังคมและชุมชน) และความสามารถในการประกอบอาชีพ


          2. กลยุทธ์ในการป้องกันการบาดเจ็บโดยการใช้ 5E
กลยุทธ์สำหรับการป้องกันการบาดเจ็บ 5E ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ ดังนี้
          1) วิศวกรรม (Engineering) หมายถึง การผลิตหรือดัดแปลงผลิตภัณฑ์เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยสำหรับประชาชน รวมทั้งการใช้หลักทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีในการป้องกันบุคคลจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการถ่ายโอนพลังงาน เช่น หมวกนิรภัย เข็มขัดนิรภัย
          2) การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม (Environmental Modifications) หมายถึงการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บโดยการลดภาวะเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
          3) การบังคับใช้ (Enforcement) หมายถึง การกำหนดและการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลหรือกำหนดมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น กฎหมายที่บังคับให้มีการใช้เข็มขัดนิรภัย เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก หมวกนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนต์และมอเตอร์ไซค์ กฎหมายในการจำกัดความเร็ว มาตรฐานความปลอดภัยในโรงเรียน รถโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก สถานบริการสาธารณสุข และสถานที่ทำงาน การควบคุมพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เมาสุราแล้วขับรถ มาตรฐานการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในรถ และการกำหนดให้มีระบบฐานข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Injury Surveillance) และทะเบียนการบาดเจ็บ (Trauma Registries) และฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บ ในศูนย์อุบัติเหตุ ระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดและเป็นการรักษาในระดับตติยภูมิ  นอกจากนี้ยังรวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เพียงพอสำหรับผู้กระทำผิดซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ การบังคับใช้กฎหมายที่เน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมทั้งกฎหมายและบรรทัดฐานที่รับรองการผลิตและการกระจายของผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย
          4) การศึกษา (Education) และ การเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) หมายถึง โปรแกรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมของประชาชนทั่วไป และบุคคลซึ่งมีภาวะเสี่ยงสูงที่จะเกิดการบาดเจ็บหรือทำให้เกิดการบาดเจ็บ  รวมทั้งการเพิ่มความตระหนักของประชาชนเกี่ยวกับอันตรายและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพื่อลดการบาดเจ็บและลดระดับของความเสียหายหรือการสูญเสีย ซึ่งกลยุทธ์ในการป้องกันการบาดเจ็บจะครอบคลุมตั้งแต่การให้ความรู้แก่ประชาชนเป็นรายบุคคลจนถึงการสร้างสรรค์วิธีการให้ความรู้กับสังคมแบบใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคม
          5) การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การกระทำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดว่าการปฏิบัติการ โปรแกรมและนโยบายใดดีที่สุดสำหรับการป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับนักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายในการกำหนดแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันและควบคุมการบาดเจ็บ
ขอบเขตของลำดับการป้องกัน (The spectrum of prevention)
          ขอบเขตของลำดับการป้องกัน ได้รับการพัฒนาในปี ค.ศ. 1983 โดย Larry Cohen ซึ่งจัดทำวิซีดีการอบรมเกี่ยวกับการป้องกัน เพื่อใช้เป็นโปรแกรมการป้องกันการบาดเจ็บของเด็กและวัยรุ่นในหน่วยงานสุขภาพระดับท้องถิ่นในเขต  Contra Costa  รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้การทำงานทางคลินิกของ Dr. Marshall Swift เกี่ยวกับการป้องกันความพิการด้านพัฒนาการเป็นฐาน ซึ่งขอบเขตของลำดับการป้องกันสามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาการบาดเจ็บที่ซับซ้อนเนื่องจากได้รับการพัฒนามาจากการปฏิบัติและจากปัญหาที่ซับซ้อนที่ต้องใช้การแก้ปัญหาที่ครอบคลุม ขอบเขตของลำดับการป้องกัน ประกอบด้วย 6 ระดับที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนี้
1)      เพิ่มความเข้มแข็งทางด้านความรู้และทักษะให้กับบุคคล ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนข้อมูลและความรู้ในการปฏิบัติ เพื่อเพิ่มแหล่งทรัพยากรส่วนบุคคลและความสามารถในการป้องกันการบาดเจ็บ
2)      ส่งเสริมความรู้ของชุมชน โดยแนวคิดในการให้ความรู้แก่ชุมชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ที่มีข้อมูลและทรัพยากรเพื่อปรับปรุงสุขภาพให้ดีขึ้น
3)      ให้ความรู้บุคลากรทางสาธารณสุข ถ้าบุคลากรสาธารณสุขมีความเชี่ยวชาญในสาขาของตน จะสามารถถ่ายโอนข้อมูล ทักษะ และแรงจูงใจไปสู่ผู้ป่วย ผู้รับบริการ และเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นบุคลากรสาธารณสุขต้องพัฒนาความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บให้ดีขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้บุคลากรสาธารณสุขมีความสามารถในการเป็นผู้แทน (Advocate) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการบาดเจ็บ
4)      สนับสนุนพันธมิตรและเครือข่าย แนวคิดในการสนับสนุนความร่วมมือกันจะช่วยส่งเสริมให้มีการใช้กลยุทธ์ที่จะนำผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนมาร่วมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความคิดริเริ่มในการทำโครงการที่เกิดความสำเร็จได้ พันธมิตรและการมีส่วนร่วมที่เพิ่มมากขึ้นนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการผลักดันสุขภาพสาธารณะ รวมทั้งการป้องกันการบาดเจ็บ
5)      เปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติขององค์กร การตรวจสอบวิธีปฏิบัติขององค์กรหลัก เช่น องค์กรที่บังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานทางสุขภาพ และโรงเรียน สามารถนำไปสู่สุขภาพและความปลอดภัยของชุมชนได้โดยทั่วไปแล้ว ประชาชนและองค์กรมีความเข้าใจเกี่ยวกับการกระทำในข้อนี้น้อยที่สุด ทำให้การดำเนินการที่เกี่ยวข้องในระดับนี้ถูกละเลยมากที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้ว การดำเนินการในเรื่องนี้มีความสำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและบรรทัดฐานภายในองค์กรมีผลต่อสุขภาพและความปลอดภัยของบุคคลากรในองค์กร
6)      มีอิทธิพลต่อนโยบายและกฎหมาย  ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงกฎหมายท้องถิ่น จังหวัดหรือประเทศ รวมทั้งการยอมรับและบังคับใช้นโยบายที่เป็นทางการของคณะกรรมการบริหารขององค์กร ซึ่งการมีอิทธิพลต่อนโยบายจะเป็นโอกาสในการทำให้มีการปรับปรุงผลลัพธ์ทางสุขภาพให้ดีขึ้น  ถึงแม้ว่าในบางกรณีจะมีกฎหมายและนโยบายที่จะช่วยป้องกันสุขภาพสาธารณะและความปลอดภัยแล้ว แต่การมีกฎหมายเพิ่มเติม การเปลี่ยนแปลงนโยบาย การบังคับใช้ที่ดีขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติอาจจะมีความจำเป็นเพื่อให้การดำเนินการป้องกันการบาดเจ็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทบาทของพยาบาลในการป้องกันการบาดเจ็บ
          พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บ  โดยมีบทบาทหลักที่สำคัญในการเป็น              ผู้ปฏิบัติการพยาบาล (Practitioner) ผู้ให้ความรู้ (Educator) ผู้วิจัย (Researcher) ผู้ดำเนินงานระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Officer in Injury Surveillance) และผู้สนับสนุนหรือผู้แทน (Advocate)    
          1. บทบาทของพยาบาลในการผู้ปฏิบัติการพยาบาล (Practitioner)
                 พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ให้การดูแลผู้บาดเจ็บและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการป้องกันการบาดเจ็บ โดยมีบทบาทดังนี้
-                   ในการป้องกันระยะที่ 1 พยาบาลควรเป็นผู้ริเริ่มและพัฒนากลยุทธ์ในการป้องกันการบาดเจ็บ เพื่อลดจำนวนและความรุนแรงของการบาดเจ็บ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการป้องกันการบาดเจ็บ เช่น สนับสนุนเครือข่ายในชุมชนและระดับชาติเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บ   เพราะพยาบาลมีบทบาทในการร่วมมือกับสังคมเพื่อริเริ่มและสนับสนุนการกระทำที่ตอบสนองความต้องการของสาธารณะทางด้านสังคมและสุขภาพ
-                   ในการป้องกันระยะที่ 2 และ 3 พยาบาลมีบทบาทในการเป็นผู้ดูแลผู้บาดเจ็บโดยใช้กระบวนการพยาบาล เพื่อส่งเสริมการทำหน้าที่ที่สำคัญของร่างกาย การปรับตัวทางด้านสรีรวิทยา การปรับตัวทางด้านจิตใจและสังคม และสนับสนุนทางด้านจิตวิญญาณ  รวมทั้งฟื้นฟูสภาพของผู้บาดเจ็บ นอกจากนี้พยาบาลควรมีการเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านกำลังคนและทรัพยากรให้พร้อมรับกับการเกิดการบาดเจ็บ อุบัติภัยหมู่และสาธารณภัย
-                   พยาบาลต้องพัฒนาสัมพันธภาพเชิงวิชาชีพกับพยาบาลและวิชาชีพอื่นๆ  และต้องมีความสามารถในการประสานงานและทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการบาดเจ็บหรือการดูแลผู้บาดเจ็บ ซึ่งประกอบด้วย บุคลากรทางสาธารณสุข ผู้แทนจากชุมชน วิชาชีพทางด้านกฎหมาย   ผู้บังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแล รวมทั้งวิศวกร และผู้ผลิต เพราะการป้องกันการบาดเจ็บต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
-                   ความปลอดภัยในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขก็มีความสำคัญและมีส่วนทำให้เกิดการบาดเจ็บของผู้รับบริการและผู้ให้บริการได้ ดังนั้นพยาบาลควรจะสร้างมาตรฐานที่ส่งเสริมความปลอดภัยในสถานบริการสาธารณสุขและคุณภาพของการดูแล รวมทั้งมีการพัฒนาและติดตามความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมในสถานบริการสาธารณสุข
-                   พยาบาลควรร่วมรับผิดชอบในการธำรงรักษาและป้องกันสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เนื่องจากปัญหาสาธารณภัยหลายปัญหาเป็นผลมาจากการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
          2. บทบาทของพยาบาลในการเป็นผู้ให้ความรู้ (Educator)
                พยาบาลมีบทบาทในการเป็นผู้ให้ความรู้ (Educator) และผู้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (A behavior change agent) โดยการใช้ข้อมูลเป็นฐาน  ดังนั้นในการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บ พยาบาลมีบทบาท ดังนี้
-                   ในการป้องกันระยะที่ 1 พยาบาลควรมีบทบาทในการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บให้กับผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการเกิดการบาดเจ็บหรือลดภาวะเสี่ยงของการเกิดการบาดเจ็บ เช่น การป้องกันการพลัดตกหกล้ม การใช้เก้าอี้นิรภัยในเด็ก เข็มขัดนิรภัย และหมวกนิรภัย และการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเสพติดหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ซึ่งอาจจะกระทำได้โดยการจัดเตรียมแผ่นพับหรือเอกสารเกี่ยวกับการบาดเจ็บและการป้องกันการบาดเจ็บไว้ที่บริเวณห้องฉุกเฉินหรือหอผู้ป่วย   อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้บาดเจ็บในสถานบริการสาธารณสุข เปิดวิดีโอเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บในห้องที่ผู้รับบริการรอพบแพทย์ และจัดนิทรรศการหรือรณรงค์เกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บในวันสำคัญทางสุขภาพหรือช่วงระยะเวลาที่มีอุบัติการณ์ของการบาดเจ็บสูง เช่น วันปีใหม่ และวันสงกรานต์ ซึ่งประชาชนมีการเดินทางเป็นจำนวนมาก
-                   ในการป้องกันระยะที่ 2 และ 3 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ลดภาวะแทรกซ้อนของการบาดเจ็บ และส่งเสริมให้ผู้บาดเจ็บได้รับการฟื้นฟูสภาพในทุกด้าน ดังนั้นพยาบาลมีบทบาทหลักในการให้ความรู้แก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวก่อนกลับบ้านเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่ต้องสังเกตและวิธีการปฏิบัติตนในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพของผู้บาดเจ็บ
-                   พยาบาลควรประเมินผลลัพธ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิธีการให้ความรู้และความรู้ที่ผู้บาดเจ็บ ครอบครัวและชุมชนได้รับ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงให้ดีขึ้น
3. บทบาทของพยาบาลในการเป็นนักวิจัย (Researcher)
              พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการพยาบาลและสุขภาพ การเป็นนักวิจัยเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่เป็นความรับผิดชอบของพยาบาล  โดยมีบทบาท ดังนี้
-                   พยาบาลมีบทบาทที่สำคัญในการกำหนดและปฏิบัติตามมาตรฐานทางการพยาบาลดังนั้นพยาบาลควรสร้างมาตรฐานในการป้องกันการบาดเจ็บ มาตรฐานในการดูแลผู้บาดเจ็บ และมาตรฐานในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับอุบัติภัยหมู่และสาธารณภัย โดยใช้วิจัยเป็นฐานในการสร้างมาตรฐานต่าง ๆ
-                   พยาบาลมีบทบาทเชิงรุกในการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาชีพโดยใช้วิจัยเป็นฐาน ดังนั้น พยาบาลควรทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บและการดูแลผู้บาดเจ็บ และเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ในการนำผลการวิจัยไปใช้
-                   พยาบาลควรมีบทบาทในการสนับสนุนการทำวิจัย นำผลการวิจัย หรือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บและการดูแลผู้บาดเจ็บมาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเพิ่มคุณภาพในการดูแลผู้บาดเจ็บ รวมทั้งลดอุบัติการณ์การเกิดการบาดเจ็บของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
-                   พยาบาลควรมีส่วนร่วมในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บ รวมทั้งรู้จักวิธีการเข้าถึงฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Injury Surveillance) ทะเบียนข้อมูลการบาดเจ็บ (Trauma Registries) ข้อมูลการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บหรือการเกิดการบาดเจ็บจากทะเบียนราษฎร์ ตำรวจ ขนส่ง หรือบริษัทประกันภัย เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาจัดทำโครงการหรือโปรแกรมการป้องกันการบาดเจ็บ หรือนำเสนอข้อมูลให้กับชุมชนหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดการกับปัญหาการบาดเจ็บ เพื่อประโยชน์ในการลดอุบัติการณ์หรือภาวะเสี่ยงของการเกิดการบาดเจ็บ
4. บทบาทของพยาบาลในการในการดำเนินงานระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Officer in Injury Surveillance) ระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Injury Surveillance: IS) เป็นระบบข้อมูลการบาดเจ็บที่ต่อเนื่อง สามารถบอกขนาดของปัญหาการบาดเจ็บ ประชากรกลุ่มเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการบาดเจ็บ รวมทั้งบอกแนวโน้มการบาดเจ็บนั้นๆ ซึ่งระบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บของประเทศไทยได้รับการพัฒนาโดยสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2538  เมื่อผู้บาดเจ็บมารับการรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ร่วมทำการเฝ้าระวังการบาดเจ็บ โรงพยาบาลจะเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่บาดเจ็บรุนแรงเกี่ยวกับการบาดเจ็บตั้งแต่เวลาเกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุ สาเหตุ และความตั้งใจหรือเจตนาของการบาดเจ็บ ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดบาดเจ็บ การดูแลปฐมพยาบาลจากจุดเกิดเหตุ กลไกการบาดเจ็บ ธรรมชาติของการบาดเจ็บ (Nature of injuries) รวมทั้งการทำนายโอกาสรอดชีวิต (Probability of survival) ของผู้บาดเจ็บ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ในการป้องกันการบาดเจ็บ และพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บตั้งแต่เกิดเหตุไปจนถึงระยะฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างมากในการประเมินผลการพัฒนาคุณภาพบริการรักษาพยาบาล เช่น การทบทวนและประเมินคุณภาพการดูแลผู้บาดเจ็บ (Trauma Audit)  การทบทวนการส่งต่อผู้บาดเจ็บ (Referral Audit) และการดำเนินงานตามแผนและโครงการของสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ  นอกจากนี้ข้อมูลเฝ้าระวังการบาดเจ็บยังมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพเพื่อการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาล (Hospital Accreditation : HA) อีกด้วย
5. บทบาทของพยาบาลในการเป็นผู้แทน (Advocate)
          -  พยาบาลควรจะมีส่วนร่วมในการระบุผลิตภัณฑ์หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้กับหน่วยงานที่กำกับดูแลหรือออกกฎหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์หรือสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
                   -  พยาบาลควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการป้องกันการบาดเจ็บในครอบครัวและชุมชน เช่น สวมใส่หมวกนิรภัยเมื่อขับขี่รถจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ คาดเข็มขัดนิรภัย ใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งสนับสนุนการขายผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่าง ๆในร้านค้าของโรงพยาบาล เช่น หมวกนิรภัยสำหรับจักรยานยนต์ของเด็ก  และอุปกรณ์ป้องกันประตูหนีบ
                   -  พยาบาลควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลหรือกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ตั้งแต่การกระทำในระดับง่าย ๆ เช่น การให้ข้อมูลกับผู้กำหนดนโยบายในระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ เพื่อกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หรือผลักดันนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการบาดเจ็บ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับหมวกนิรภัยหรือเข็มขัดนิรภัย กฎหมายเกี่ยวกับการขับรถเมื่อเมาสุรา และการครอบครองอาวุธปืน จนถึงการเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายทางด้านการป้องกันการบาดเจ็บ   
                   -  พยาบาลควรสนับสนุนการเพิ่มทุนและการจัดสรรงบประมาณสำหรับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันการบาดเจ็บจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยพยาบาลควรค้นหาแหล่งทรัพยากรทางด้านการเงินที่สนับสนุนโปรแกรมทางสุขภาพและการป้องกันการบาดเจ็บ เพื่อให้มีการจัดทำโปรแกรมที่ป้องกันการบาดเจ็บมากขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
                   -  พยาบาลควรพัฒนาทักษะของการเป็นผู้แทน (Advocate) ในการป้องกันการบาดเจ็บ ซึ่งพยาบาลจะต้องพัฒนาทักษะที่สำคัญในการเป็นผู้แทนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหรือกฎระเบียบของหน่วยงานเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ทักษะเหล่านี้ประกอบด้วย การแก้ปัญหา การสื่อสาร การมีอิทธิพลต่อผู้อื่น และการร่วมมือเพื่อที่จะทำให้การแก้ปัญหาการบาดเจ็บบรรลุผลสำเร็จ ซึ่งการเป็นผู้แทนเป็นกระบวนการที่มีลำดับขั้นตอนและต้องอาศัยความพยายามเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปีจึงจะสำเร็จ
สรุป
          การบาดเจ็บเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศ ซึ่งการบาดเจ็บสามารถป้องกันได้ โดยใช้แนวคิดในการป้องกันการบาดเจ็บ พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บทั้ง 3 ระยะ เพื่อลดอุบัติการณ์การบาดเจ็บและส่งเสริมผลลัพธ์ทางการพยาบาลในการดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีขึ้น ซึ่งการบาดเจ็บเป็นปัญหาสุขภาพที่ท้าทายและต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาโดยเฉพาะการตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและควบคุมการบาดเจ็บของบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคม

อ้างอิง
อภิชาติ  รอดสม และคณะ. (2558).  การป้องกันการบาดเจ็บและการดูแล : คู่มือสำหรับหลักสูตร
          พยาบาลศาสตรบัณฑิต  สถาบันพระบรมราชชนนก. กรุงเทพฯ : แดเน็กซ์อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น